อยากมี Smart Home เริ่มต้นยังไงดี

ช่วงนี้ Trend Smart Home กำลังมาเลยแหละ บ้านหลาย ๆ หลังที่พึ่งสร้างแล้วออกมาขายในช่วงนี้ ก็ออก Smart Home Solution ที่มากับบ้านกันเป็นแถวเลยทีเดียว แต่กับบ้านที่เก่ากว่านั้นที่อาจจะไม่มีมา แต่ก็ใช่ว่าจะติดตั้งไม่ได้ วันนี้เรามาแนะนำ Solution ที่น่าสนใจ กับ Product ที่น่าสนใจ

สัญญาณกันขโมย

จริง ๆ ระบบพวกสัญญาณกันขโมยมันมีมานานมากแล้วละ แต่เมื่อก่อน มันก็ทำงานจากในบ้านของเราเอง ไม่ได้เชื่อมต่อให้เราดูผ่าน App โทรศัพท์มือถืออะไรของเราแบบนั้น แต่พอมาในยุคนี้ มันง่ายกว่าเดิมแล้ว ตอนนี้มันบอกได้เลยว่า ประตู หรือ หน้าต่างนี้ถูกเปิดหรือปิด วันไหนเมื่อไหร่เลยด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเราต่อมันเข้ากับกล้องวงจรปิดแล้ว พอมีการเปิด ประตูหรือหน้าต่าง มันก็จะถ่ายรูปแล้วส่งมาให้เราได้แบบ Realtime เลยทีเดียว

เบื้องต้น Solution นี้ถือว่าลงทุนไม่แพงมากเท่าไหร่เลย เริ่มจาก พวก Sensor สำหรับการติดตั้งที่ประตู และ หน้าต่าง ตัวที่เราแนะนำเป็นของ Sonoff ที่ใช้สัญญาณแบบ Zigbee อันนึงมันไม่ถึง 200 บาทเท่านั้นเอง ส่วนการติดตั้งมันก็ง่ายแสนง่าย ไม่จำเป็นต้องพึ่งช่างอะไร มันมีกาวให้เราติดกับ ประตู และ หน้าต่างได้เลย แล้วเราก็เชื่อมต่อกับ Hub ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว

จริง ๆ มันมีของยี่ห้ออื่นอีกนะ แต่เท่าที่เราลองดูมา เราว่าของ Sonoff ถือว่ามีราคาที่ถูกที่สุด เมื่อเทียบกับ Feature แล้วละ เพราะเราเอง ก็ใช้ของยี่ห้อ LifeSmart ที่ต้องบอกเลยว่า มันแอบแพงกว่ากันเยอะมาก และ ถ้าเราจะทำการเชื่อมต่อกับ Solution อื่น ๆ ก็ทำได้ยาก เราเลยไม่แนะนำเลย

ใน App เราอาจจะตั้งให้มันมีการเตือนว่า ถ้ามีการเปิด หน้าต่าง หรือ ประตู ให้มันเตือนเรา หรือถ้ามีการเปิดปิดเยอะ ๆ เตือนในโทรศัพท์น่ารำคาญไปหมด เราก็อาจจะ ตั้งให้มันเตือนเป็นเวลาก็ได้เหมือนกัน

เพิ่มเติมเข้าไปอีก ถ้าเราอยากให้มันโหดขึ้น เช่น ถ้ามีคนแปลกหน้าแอบเข้ามาในบ้านเราแล้วให้มันมีเสียงดังเพื่อไล่ เราก็อาจจะซื้อพวกลำโพงไซเรน มาติดกับ Relay ที่ควบคุมผ่าน App ได้มา แล้วก็มาตั้ง Scene ว่า ถ้าเราไม่อยู่บ้าน มี Sensor ประตูหน้าต่างตรงนี้ถูกเปิดก็ให้มันร้องเลยอะไรแบบนั้นก็ได้เหมือนกันนะ โหดดี

ระบบกล้อง

การติดตั้งพวกกล้อง เมื่อก่อนอาจจะเป็น Solution สำหรับธุรกิจ หรือที่ ๆ ต้องการความปลอดภัยสูงมาก ๆ อาจจะเพราะราคาที่แอบแพงไปนิด และ ต้องมีระบบในการติดตั้งที่ยุ่งยาก ก็คือ ต้องเอากล้องเดินสาย แล้วเสียบเข้ากับกล่อง NVR สำหรับการบันทึก มันอาจจะดีสำหรับการใช้งานกล้องจำนวนหลาย ๆ ตัว แต่ถ้าเราใช้งานในบ้าน จริง ๆ อย่างน้อย เราอาจจะติดตั้งไว้สักตัวนึง ไว้ที่หน้าบ้านก็ได้ หรือบ้านไหนจะติดกี่ตัวก็ว่ากันไปไม่ขัด

พอถ้าเราติดตั้งไม่กี่ตัว ต้องซื้อเครื่อง NVR และ ต้องเดินสายอีก มันถือเป็นเรื่องยุ่งยากของการติดตั้งระบบกล้องในบ้านมาก ๆ ทำให้ปัจจุบัน ผู้ผลิตกล้องก็หันมาผลิต Camera Home Solution ก็คือพวกกล้อง IP Camera หรือก็คือ กล้องที่สามารถต่อ Internet ได้ สิ่งที่มันทำได้คือ มันสามารถอัดภาพจากกล้องลงไปใน SD Card ได้ตรง ๆ เลย ทำให้เราไม่จำเป็นที่จะต้อง ลากสาย ไปที่เครื่อง NVR อีกต่อไป สิ่งที่เราต้องทำคือ เราแค่ลากสายไฟ ไปเสียบปลั๊ก และ ใส่ SD Card ก็สามารถอัดภาพได้แล้ว

ความดีงามอีกอย่างของ IP Camera ที่เหนือกว่ากล้องวงจรปิดสมัยก่อนคือ ความสามารถในการเข้าถึงภาพจากที่ไหนก็ได้บนโลก ถ้ามี Internet พวกนี้ ทำงานผ่านสิ่งที่เรียกว่า Cloud Computing มันอาจจะมาในรูปแบบของ App ที่ทำให้เราเข้าถึงกล้องได้

แต่จริง ๆ พวก Solution ที่ใช้ NVR ก็ยังคงมีอยู่นะ แต่ก็มีการใช้ Cloud Computing เหมือนกับ IP Camera เลย ที่ทำให้เราเข้าถึงจากที่ไหนก็ได้ ที่มี Internet แต่สิ่งที่ NVR ดีกว่าคือ มันมีการรวมภาพของทุกกล้องไว้ในที่เดียว ทำให้ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เราสามารถดึงภาพจากเครื่องเดียวเลย แทนที่จะต้องไปเดินไล่ติดการ์ดออกจากกล้องทีละตัว

อีกเรื่องที่เวลาไปซื้อเราอยากจะให้เช็คนิดนึงก่อนซื้อคือ กล้องมันเป็นกล้องสำหรับทำงานในบ้าน หรือ นอกบ้าน ซื้อมาให้ถูกกับการใช้งานของเรา อย่าเอากล้องในบ้านไปใช้นอกบ้านนะ เพราะ พวกกล้องนอกบ้าน มันออกแบบมาให้โดนพวกละอองน้ำได้ เวลาฝนตกน้ำกระเซ็นใส่กล้อง จะได้ไม่พัง กับพวกกล้องภายนอกบางตัวมันก็มีติด Flood Light มาด้วยก็มี

ส่วน Product ที่เราแนะนำคือพวกกล้องของ Ezviz พวกนี้เป็น IP Camera หมดเลย แต่สิ่งที่ทำให้เราแนะนำคือ มันสามารถทำงานคนเดียวก็ได้ ไม่ต้องผ่าน NVR หรือ เราจะซื้อ NVR ของ Ezviz มาใส่เพื่อบันทึกก็ได้เช่นกัน แถม ถ้าเราไปซื้อตามพวกงาน Commart หรือรอ Flash Sale ก็ลดราคาไปอีก นอกจากนั้นสำหรับคนที่ชอบ Hack อะไรสักหน่อย มันก็ยังมี Manual ในการดึง Feed ภาพผ่าน RTSP เพื่อยิงเข้ากับ NVR Software ตัวที่เราต้องการก็ได้

สำหรับบ้านเราเอง เราก็ใช้ของ Ezviz ทุกตัวเลย สิ่งที่ถ้าเราเขียนโปรแกรมได้ และสามารถเอา Feed ภาพออกจากกล้องผ่าน RTSP ได้ เราก็เอาพวก Machine Learning และ Computer Vision เข้ามาจับ ทำให้มันรู้ได้ว่า เรามีคนมาส่งของ หรือมีผ้าที่ตากไว้ อยู่ เผื่อเวลาที่ฝนตก (ต้องมี Sensor รับน้ำฝนอีกนะ) มันก็จะเตือนเราได้

Smart Door Lock

จริง ๆ อยากจะใช้ Brand ที่มัน Global มาก ๆ กว่านี้ แต่ตัวเลือกกับประตูเลื่อนกระจกมันมีน้อยมาก ๆ

เรายังอยู่กับระบบรักษาความปลอดภัยอยู่เช่นกัน คือ Smart Door Lock หรือก็คือ กลอนประตูแบบ Digital เราว่า จริง ๆ บ้านสมัยนี้ควรจะมีมันอย่างน้อยสักบานที่ใช้เข้าออกบ้าน เพราะ มันช่วยเรื่องการลืมกุญแจได้เป็นอย่างดี เพราะพวกนี้ เราสามารถปลดล๊อคได้หลายวิธีมาก อาจจะเป็น รหัสผ่าน, Keycard หรือจะเป็นลายนิ้วมือ ก็สามารถปลดล๊อคได้หมดเลย ตัดปัญหาเรื่องกุญแจไปเลย

สำหรับบ้านที่มีกลอนประตูอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องห่วง เพราะเราสามารถติดตั้งแทนได้เช่นกัน จากที่เจอมา สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือพวกประตูกระจก อย่างบ้านเราเองก็เป็นแบบเดียวกัน มันทำให้เรามีตัวเลือกในการซื้อน้อยลงมาก ๆ หรือเอาจริง ๆ คือหาแทบไม่ได้เลย แต่พวกประตูกลอนปกติ คือ มีหลายยี่ห้อให้เราเลือกใช้เยอะมาก

สำหรับยี่ห้อที่เราว่า มันโอเคหน่อยคือ พวก Samsung เราว่า หลาย ๆ เจ้าก็เลือกใช้ยี่ห้อนี้ซะเยอะ จริง ๆ พวก Smart Door Lock เราจะมั่นใจ Brand ที่มาจากเกาหลีมาก ด้วยราคาที่เอาจริง ๆ มันไม่ได้แรงไป แต่ความแข็งแรง และปลอดภัยถือว่าทำมาดีมาก ๆ เลย ประทับใจมาก

Switch ไฟ

ตัวนี้เราแนะนำสำหรับ มนุษย์​ขี้เกียจ เลย คือ มันดีมากทุกคน มันทำให้เราสามารถเปิด เปิดไฟในบ้านผ่าน App ได้ บางที Swtich ไฟอาจจะอยู่ไกลจากเราไปหน่อย แลพ เราขี้เกียจเดิน เราก็อาจจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดปิดได้เลย หรือถ้าเกิดเราเชื่อมต่อกับ Sensor อื่น ๆ เราก็อาจจะตั้ง Scene บางอย่างให้มัน Trigger จากเหตุการณ์บางอย่างได้ด้วย

ตัวอย่างเช่นห้องนอนเราเอง เราจะมี Door Sensor ติดไว้ และเราก็ตั้งว่า หลัง 6 โมงเย็น ถ้าเราเปิดประตูห้องนอนเราเข้ามา เราจะให้ไฟมันเปิดเอง หรือเราตั้ง Scene เช่น Good Night เพื่อให้มันปิดไฟในห้องทั้งหมด ปรับเครื่องฟอกอากาศเป็น Sleep Mode เพื่อลดเสียง และ ปรับสีไฟ ให้พร้อมนอน แล้วเราก็ Trigger ด้วย Voice Command อย่าง Siri ได้เลย อะไรแบบนั้น

มีแค่ 1 กับ 3 Switch เอง ไม่มีตัวอย่างของ 2 Switch ให้ดู

Switch ที่เราซื้อมา มันจะมาแทน Switch ไฟที่เราใช้งานในบ้านเลย เราก็ซื้อมันมาเปลี่ยน โดยที่เวลาเราไปซื้อ มันก็จะมีตั้งแต่ 1 - 3 Switch ต้องเลือกให้เข้ากับจุดที่เราต้องการติดตั้ง เช่นของเดิมมันมีอยู่ 3 เราก็ต้องซื้อตัว 3 Switch มาใส่นะ

นอกจากนั้น มันจะมีความยุ่งยากอีกนิดคือ มันจะต้องใช้สาย Neutral ด้วย หรือบ้าน ๆ เราเรียกว่าสาย N ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกเครื่องมันต้องมี แต่ Switch ปกติ มันไม่ต้องใช้ ทำให้บางบ้าน เขาจะไม่เดินมาให้ ก็จะต้องไปหาตัวที่ไม่ต้องใช้สาย N ที่ต้องบอกเลยว่า มันจะราคาแพงกว่า

สาเหตุที่ต้องใช้สาย N เพราะข้างในของ Switch ไฟพวกนี้ มันมีพวก Microcontroller เพื่อรับคำสั่งจาก App ของเรา และ ควบคุมการเชื่อมต่อกับ Internet อยู่ข้างในทำให้มันต้องใช้สาย N เพื่อให้ตัวมันเองต้องใช้ไฟฟ้าด้วยนั่นนเอง จากเดิมที่ Switch ไฟปกติ มันไม่ต้องใช้ไฟฟ้า วิธีการดูเอาจริง ๆ เราไม่แนะนำให้แงะ Switch ไฟบ้านของเราออกมาเอง ให้เรียกช่างที่ทำเป็นมาดูให้ดีกว่า

ถ้ามีก็ซื้อพวก Switch ที่ต้องใช้สาย N มาได้เลย อันนี้ง่ายเลย การติดตั้งก็ง่ายมาก ๆ เอาสายเสียบ ไข ๆ น๊อตแล้วยัดกลับเข้าก็ที่ Block ก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น แต่สำหรับคนที่ไม่มีสาย N จะเริ่มยากละ

ถ้าไม่มีความรู้ในเรื่องไฟ อย่าทำเองเด็ดขาด อันตรายนะ

เราก็มีอีกวิธีคือ การใช้พวก Relay ที่ต่อ Internet ได้นี่แหละ มาพ่วงระหว่างหลอดไฟ และระบบไฟในบ้านของเรา เพื่อให้ Relay มันสั่งตัด หรือ จ่ายไฟให้กับหลอดไฟของเราได้ นั่นก็เป็นอีก Solution นึงที่ทำได้ แต่ข้อเสียคือ ถ้าเรากดที่ Switch แป๊ะ Relay ก็จะหลุดการเชื่อมต่อออกจากระบบ เพราะจากเดิมที่ Switch คุมแค่ไฟ มันดันไปปิด Relay ของเราด้วย

วิธีนี้แก้ปัญหาง่าย ๆ คือ มันจะมีพวกปุ่มที่เป็น Wireless อยู่ เราก็เอาปุ่มนั้นแหละไปติด แล้วตั้ง Scene ใน App ว่าถ้า กด ปุ่มนี้ ให้เปิด หรือปิด แค่นั้นเองชิว ๆ

และ Product ในหมวดนี้ที่เราแนะนำ ก็ยังมาจาก Sonoff อยู่ดีคือ Sonoff TX Series มันจะมีตั้งแต่ 1-3 Switch ในตัวเดียวเลย กับใน TX มันจะมี 3 รุ่นย่อยอีก ถ้าเป็นรุ่น T0 มันจะไม่รองรับพวกการเปิดปิดจากการใช้ RF ส่วนที่เหลือรองรับ ถ้าไปเจอแล้วราคามันพอ ๆ กันเอา T1 หรือ T2 ก็ได้ แต่ถ้าราคาต่างกันเยอะ เราแนะนำไป T0

หรือสำหรับบ้านที่อาจจะไม่ได้เดินสาย N เราแนะนำให้ไปใช้พวก Relay ของ Sonoff เหมือนกัน คือ Sonoff BASICR2 หรือถ้าอยากจะเปิดปิดผ่านพวก RF ด้วยมันจะมีรุ่น RFR2 หรือถ้าไฟบ้านเราสามารถหรี่ได้ มันต้องไปดูรุ่น D1 Dimmer อันนั้นจะมี Option ในการหรี่ไฟด้วย แล้วแต่การใช้งานของเราเลย

Smart Plug

Smart Plug ก็เป็นอีกอุปกรณ์ที่น่าสนใจมาก ๆ ส่วนนึง เพราะราคาที่ถูกมาก และ ติดตั้งง่ายมาก ๆ โดยสิ่งที่มันทำได้คือ การควบคุมการจ่ายไฟในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กได้หมดเลย (อันที่ไม่ได้เสียบเป็นหัวปลั๊กเช่น เครื่องทำน้ำอุ่นงี้) เช่น เราอาจจะเอามันเสียบกับกาต้มน้ำร้อน แล้วตั้งเวลา เพื่อให้มัน เปิด และ ปิดตามเวลาที่เราต้องการ มันก็ช่วยเราประหยัดไฟไปได้เยอะมากพอสมควร

พูดถึงประหยัดไฟ Smart Plug บางรุ่น เก่งกว่านั้นอีก มันสามารถที่จะวัด การใช้ไฟที่จ่ายออกจาก Plug ตัวนั้นได้เลย เหมาะกับคนที่ต้องการวัดปริมาณพลังงานที่ใช้ไป ตัวอย่างเช่น อาจจะเป็นพวกเครื่องซักผ้าตามใต้หอพัก ที่อยากรู้ว่ามันใช้ไฟเท่าไหร่ อะไรแบบนั้นก็น่าจะได้แหละ

พวกนี้ เราก็ยังแนะนำของพวก Sonoff อยู่เป็นรุ่น S31 กับ S31 Lite ถ้าเราต้องการวัดพลังงานด้วยก็เอา S31 แต่ถ้าไม่ก็เอา S31 Lite แทน มันต่างกันแค่อันนึงวัดไฟได้ อีกอันวัดไม่ได้เท่านั้นเอง

พวกรุ่นนั้นอาจจะราคาสูงหลัก 300 กว่าบาทเลย ถ้าเอาราคาลงมาหน่อย อันที่เราใช้มันไม่มี Brand แต่มันทำงานได้ดีเลยนะ ตกอันละ 135 เองมั่ง ใช้งานผ่าน App Ewelink เหมือนกับของ Sonoff เลย

พวก Smart Plug พวกนี้ ส่วนใหญ่มันจะมาเป็นหัวปลั๊กแบบ US สำหรับบ้านเราคือ มีหลายแบบมาก ทำให้ถ้าจะซื้อพวกนี้จริง ๆ ให้เช็คก่อนว่า ปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าของเรามีหัวแบบไหน อันไหนบ้างที่ต้องแปลง จะได้ไปซื้อหัวแปลงมาถูก

สรุป

การที่จะแปลงบ้านเราให้เป็นบ้านที่ฉลาดขึ้นผ่านการใช้งานอุปกรณ์ Smart Home เราบอกเลยว่า มันไม่ได้ยากเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องเดินสายอะไรยุ่งยากไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้แทบทุกอย่างทำงานผ่านระบบไร้สายหมดแล้ว นอกจากนั้น ราคายังถูกขึ้นเยอะมาก ตัวอย่างเช่นยี่ห้อ Sonoff ที่เรามาป้ายเยอะมาก เขาไม่ได้จ่ายเราหรอก (แต่ถ้าเข้ามาจ่ายจะยินดีมาก) ราคามันไม่กี่ร้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับ Brand อื่นที่ราคาดุดันกว่านี้มาก ๆ กับการที่มันมี Community ที่ดี ก็ช่วยเรื่องของการ Integrated เข้ากับระบบอื่น ๆ ได้อีก ถือว่าเป็น Product ในการเริ่มต้นใช้ Smart Home ได้ดีเลยทีเดียว สุดท้ายก็ต้องบอกว่า ขอให้สนุกกับการแปลงบ้าน