รีวิว Nespresso Vertuo Next เครื่องทำกาแฟแคปซูลใหม่แบบสับ Nespresso
กาแฟแคปซูล Brand ใหญ่น่าจะที่สุดแล้วอย่าง Nespresso เข้ามาทำตลาดในบ้านเราหลายปีมาก ๆ แล้ว ก็เรียกว่าได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากชาวไทยเลยก็ว่าได้ ในตอนนี้ Nespresso ก็ได้นำเครื่องระบบใหม่เข้ามาคือ Vertuo มาดูกันว่า มันต่างจากระบบเก่าอะไรยังไงบ้าง
ปล. เขียนไว้เป็นเดือน พึ่งเอามาลง ช้าไปมั้ยเนี่ย ~
ระบบ Centrifuge ใหม่แบบสับ
ตัวเครื่อง Nespresso ระบบก่อนหน้า หรือที่เรียกว่า Classic Nespresso จะใช้หลักการเหมือนเครื่องทำ Espresso ทั่ว ๆ ไป คือ ใช้แรงดันน้ำ 19 bar อัดผ่านเมล็ดกาแฟที่บดละเอียด ทำให้เราได้กาแฟที่มีกลิ่น และ รสชาติที่ครบถ้วน หอม ตามแบบฉบับของเมล็ดเต็ม ๆ โดยจุดที่เจ๋งของเครื่องก็คือ เครื่องสามารถควบคุม แรงดัน อุณหภูมิ และ ปริมาณน้ำให้เหมาะสมได้ ทำให้แต่ละแก้วที่เราชง จะเหมือน หรือใกล้เคียงกันที่สุดแล้วละ
แต่ในระบบ Vertuo นี้จะเปลี่ยนวิธีการสกัดกาแฟใหม่เลย เพราะเขาใช้วิธีการปั่นเหวี่ยงแทน โดยการเติมน้ำเข้าไป แล้วเหวี่ยงน้ำให้ผ่านเมล็ดกาแฟ แล้วค่อยเอาน้ำกาแฟที่สกัดแล้วออกมาปล่อยออกมาใส่แก้วเรา ด้วยวิธีนี้ทำให้น้ำผ่านเมล็ดกาแฟทั้งหมดจริง ๆ
นั่นแปลว่า แคปซูล อันเดิมมันจะใช้งานไม่ได้แล้วนะ ต้องเป็นแคปซูลสำหรับระบบ Vertuo เท่านั้นแล้วละ ระบบเดิมก็ยังขายต่อไปนะ ระบบใหม่ก็ขายพร้อม ๆ กันนี่แหละ
ถามว่าเครื่องจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องใช้น้ำปริมาณเท่าไหร่ ปั่นเหวี่ยงด้วยรอบเท่าไหร่ และน้ำอุณหภูมิเท่าไหร่ ต้องย้อนกลับไปที่ว่า แล้วเครื่องรู้ได้ยังไงว่า แคปซูลที่เราใส่ไปมันเป็นอันไหน ในระบบนี้ใต้แคปซูล เขาจะมี Barcode อยู่ เครื่องจะอ่าน Barcode แล้วจะได้ ID ออกมา แล้วไปหาโปรแกรมว่า มันต้องใช้ค่าอะไรเท่าไหร่บ้าง
โดยทั่ว ๆ ไปเครื่องก็จะมากับโปรแกรมสำหรับแคปซูลที่ขาย ณ วันที่เราซื้อเครื่อง แล้วถ้าแคปซูลใหม่ออกมาละจะทำอย่างไร ยิ่งพวก Seasonal ด้วย ออกมาถี่มาก ๆ พวกนี้ก็จะอาศัยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ซึ่งมันจะต่อ Bluetooth เพื่อใช้งานใน Application Nespresso ให้เราต่อ WiFi ได้เพื่อดาวน์โหลดข้อมูล Update สูตรกาแฟได้นั่นเอง
อันนี้เป็น Capsule ที่ผ่านการใช้งานแล้ว อันนี้คืออันที่พึ่งใช้เสร็จ แล้วหยิบออกมาเลย เราจะเห็นได้เลยว่า มันแอบแห้งมาก ๆ ถ้าคนที่ใช้ระบบเดิมจะรู้ถึงปัญหาดี ว่า เมื่อเราเอา Capsule ที่ใช้แล้วใส่ลงไปในถุงเพื่อเอาไป Recycle ใส่ไว้ยังไม่ทันเต็มถุง มีราขึ้นแล้ว เกิดจาก Capsule ที่ใช้เสร็จแล้วมีน้ำเยอะมาก ๆ แล้วมันไม่แห้ง ชื้น แล้วใส่ลงถุงมืด ๆ ที่ปิดอับ ๆ ราขึ้นสิครับรออะไร แต่พอมันเป็นระบบปั่นเหวี่ยงแบบนี้ เครื่องมันจะพยายามเหวี่ยงน้ำออกมาให้มากที่สุด เลยทำให้ Capsule แห้งมาก ๆ ทิ้งไว้ในกล่องมันสักวันแล้วใส่ถุง Recyle ก็ราไม่มาละ
มาพร้อมกับกาแฟขนาดยักษ์
จากเดิมในระบบเดิม เราสามารถสกัดกาแฟได้ใน 3 ขนาดด้วยกันโดยอ้างจากจำนวนของน้ำ คือ Ristretto (25 ml), Espresso (40 ml) และ Lungo (110 ml) ถ้าเราต้องการเอาไปใส่แก้ว Yeti ไปทำงาน หรือ เราเองที่ใช้แก้ว Starbucks มันก็จะใหญ่ ๆ หน่อย อาจจะต้องใช้ Lungo 2 Shot หรือไม่ก็ Espresso 2 Shot แล้วเติมน้ำเป็น Americano ก็ได้เหมือนกัน จะเห็นว่า มันใช้ Shot เยอะมาก
แต่ใน Vertuo นั้น เขากดมาให้ทั้งหมด 5 ขนาดไปเลย คือ Espresso (40 ml), Double Espresso (80 ml), Gran Lungo (150 ml), Mug (230 ml) และ Alto (414 ml) จะเห็นได้ว่า ขนาดที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Alto เกือบครึ่งลิตรเลยนะ ดื่มคนเดียวหมดคือ ตาค้างแน่นอน อลังการงานสร้างมาก ๆ แต่ Size ที่ ณ วันนี้ในไทยเรามีใหญ่สุดคือ Mug ที่เป็น Size ที่เราว่ามันพอดีมาก ๆ สำหรับการเอาใส่แก้วไปจิบ ๆ ทั้งวัน ก็จะเยอะกว่า Lungo 2 Shot นิดหน่อย เพียงพอต่อการจิบ ๆ ทั้งวันละแหละ
ซึ่งในแต่ละขนาดจะมี ขนาดแคปซูลที่ไม่เท่ากันด้วย ยิ่งทำได้เยอะ ก็จะมีความสูงของแคปซูลที่มากขึ้นด้วย ทำให้เราพอจะประมาณได้ว่า อันนี้มันน่าจะเป็นขนาดเท่าไหร่ เรียกว่า ดื่มกันทั้งวันได้สบาย ๆ เลย
Nespresso Vertuo Next
มาที่ตัวเครื่องกันบ้าง ในไทย ณ วันที่เขียน จะมีเข้ามาเป็น Vertuo Next ทั้งหมด 3 รุ่นย่อยด้วยกันคือ Vertuo Next, Vertuo Next Premium, Vertuo Next Deluxe ทั้ง 3 รุ่นย่อยนี้จะมี Feature การทำงานเหมือนกันทั้งหมด แตกต่างกันที่ วัสดุ และ สีเท่านั้น โดยที่ Vertuo Next ตัวธรรมดาจะเป็นพลาสติกเกรดสูงทั้งหมด ขึ้นไป Premium ที่รองแก้วจะเป็น Chromium แต่หัวเป็นพลาสติก และสุดท้าย Deluxe ทั้งหัว และ ที่วางแก้วจะเป็น Chromium หมดเลย ก็แล้วแต่ที่เราจะใช้งานและ
แต่สำหรับเครื่องที่เราเอามารีวิววันนี้เป็น Vertuo Next ตัวเริ่มต้น ที่ตั้งตัวเป็นพลาสติกหมดเลย เริ่มจากด้านบนของเครื่อง การทำงานง่ายมาก ๆ คือ มันมีอยู่ปุ่มเดียวเลย ปุ่มเปิดอะไรไม่ต้อง เพราะเครื่องจะเปิดเอง เมื่อเราเปิดฝาขึ้นมา และ ปิดเองเมื่อฝาเครื่องปิดไม่ได้ทำอะไรสักพักเพื่อประหยัดไฟ
ซึ่งเมื่อเราเปิดเครื่องมา ที่ปุ่มนี้แหละมันจะมีไฟขึ้นมา ซึ่งไฟนี้แหละมันจะเป็นไฟแสดงสถานะของระบบ เช่น ถ้าเครื่องมันกำลังเตรียมอุ่นเครื่องอยู่ มันก็จะค่อย ๆ สว่าง และ ดับไปเรื่อย ๆ หรือถ้าเครื่องพร้อมแล้ว มันก็จะเป็นไฟขาวนิ่ง ๆ ความยากคือ มันจะมีสถานะอื่น ๆ เข้าไปอีก ทำให้ งง ไปหมด เวลาเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องมานั่งเปิดคู่มือ อันนี้แหละ ทำให้เราไม่ชอบเท่าไหร่ อยากให้มีหน้าจอเผื่อแสดงสถานะพวกนี้แหละ
และด้านบน เราจะเห็นกลม ๆ ที่เป็น Chromium วงนั้นมันจะมีที่จับให้เราหมุนได้อยู่ เพื่อปลดล๊อค และ ล๊อคฝา มันแอบแน่นไปหน่อย เราเข้าใจได้ เพราะเมื่อเราปิดฝามันจะเจาะรูที่แคปซูลทำให้เวลาเราใส่แคปซูลลงไป เวลาปิดมันจะปิดยากมาก ๆ ดังนั้นแนะนำว่าทำให้ใช้สองมือจะดีมาก
เมื่อเราปลดล๊อคฝามันจะเปิดขึ้นมา เราจะเห็นว่ามันมีอะไรเหมือนถ้วย เป็นที่สำหรับเราวาง Capsule เข้าไปได้ การออกแบบมันจะทำให้เราไม่สามารถวาง Capsule ผิดได้เลยนะ ดังนั้นไม่ต้องกลัว
เมื่อทำกาแฟเสร็จแล้ว เราปลดล๊อคแล้วเปิดมาอีกครั้ง จะเป็นแบบรูปด้านบนเลยคือ มันจะมีขาเหล็กมาจับที่ Capsule
แล้ว Capsule มันจะไหลลงไปในรูที่พาไปที่ Compartment ในการเก็บ Capsule ที่ใช้งานเสร็จแล้วเองเลย โดยไม่ต้องใช้กลไกอะไรที่เป็นไฟฟ้ายุ่งยากเลย
ถ้าเราแหงนดูที่ด้านบนของฝา เราเห็นเหล็กที่พา Capsule ที่ใช้งานแล้วไปที่ Compartment สำหรับเก้บ แต่เรายังจะเห็นเหล็ก และ ท่อตรงกลาง เป็นส่วนที่นำน้ำเข้าสู่ Capsule นั่นเอง การเจาะมันจะง่ายมาก ๆ คือ แค่เราปิดฝา แล้วล๊อคแง่งพวกนี้มันจะเจาะเข้าไปที่ Capsule ทันที ถ้าเราเกิดล๊อคแล้วเกิดเปลี่ยนใจคือเกมเลยนะ จะต่างจากระบบ Classic ตรงที่ Capsule จะเริ่มโดนเจาะเมื่อเราเริ่มโปรแกรมแล้วน้ำมันดันเข้าไปแล้ว
ข้างซ้ายของเครื่องจะมีช่องสำหรับใส่ Capsule ที่ใช้งานเสร็จแล้ว โดยเราสามารถดึงเปิดออกมาเพื่อเอา Capsule ที่ใช้งานเสร็จแล้วทิ้งได้ ส่วนตัวเรามองว่า ด้วยความที่เครื่องมันเล็ก และ Capsule มันใหญ่ เลยทำให้ช่องสำหรับเก็บมันแอบน้อยไปหน่อย เราจะต้องเอามันออกมาทิ้งบ่อยอยู่นะ
ด้านหน้าของเครื่องจะเป็นที่วางแก้วแบบปรับระดับได้ เพื่อให้เข้ากับขนาดของแก้วที่แตกต่างกัน โดยมันไม่ใช่ว่าเลื่อนขึ้นเลื่อนลงนะ แต่มันจะมีล๊อคของมัน ทำให้เราสามารถเปลี่ยนขนาดแก้วได้ 3 รูปแบบด้วยกัน
และด้านหลังจะเป็น Tank สำหรับใส่น้ำขนาด 1.1 ลิตร เรามองว่าแอบเล็กไปหน่อยเมื่อเทียบกับขนาดของแก้ว Mug แต่ก็ใช้ได้หลาย ๆ แก้วอยู่แหละ แต่ต้องเข้าใจว่า Nespresso แนะนำว่า ดีที่สุดคือ เราควรเปลี่ยนน้ำวันต่อวันจะดีกว่า ทำให้ 1.1 ลิตรเลยเป็นขนาดที่โอเคแหละ ได้หลายแก้วมาก ๆ แต่เรื่องนึงที่เราแอบไม่ชอบคือมันใช้พลาสติกใส ทำให้เวลาเราใช้ไปนาน ๆ รอยขนแมวเพียบแน่นอน
ระบบ Vertuo มาแทน Classic เหรอ ?
จริง ๆ แล้วเรามองว่า มันไปด้วยกันนะ เพราะถ้าเราดูกันดี ๆ เราจะเห็นเลยว่า มันเป็นการดื่มกาแฟคนละรูปแบบเลยนะ อย่างใน Classic Nesspresso จะเป็นการดื่มแบบอิตาเลี่ยนซะมากกว่า อย่างที่แต่ละชื่อมันบอกเลยแหละ ซึ่งปริมาณมันก็จะไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ส่วน Vertuo เรามองว่า มันเป็นการดื่มกาแฟแบบอเมริกันมากกว่า ทำให้เราได้ปริมาณเยอะ ๆ แล้วดื่มได้เรื่อย ๆ เลยทำให้ ทั้งสองระบบนี้ไม่ได้มาแทนกัน แต่เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Nespresso มากกว่านะ
สำหรับบ้านเราเอง เดิมมีเครื่อง Grand Lattisima อยู่แล้ว แล้วเอา Vertuo Next เข้ามา ทำให้เห็นชัดเลยว่า มันคนละ Segmentation คนละรูปแบบของการดื่มกาแฟเลยก็ว่าได้ อย่างเราเอง ตอนเช้า เราอยู่บ้าน เราจะกดจาก Vertuo Next อาจจะเป็นกลุ่มของพวก Grand Lungo มาดื่ม ๆ ไปเตรียมตัวก่อนไปทำงาน หรืออาจจะกดเป็น Double Espresso แล้วเติมนมเข้าไปดื่มแบบจุก ๆ แล้วก่อนออกไป เราก็จะใช้ Espresso 2 แคปซูลทำ Iced Americano เพื่อดื่มระหว่างวันให้สดชื่น เพราะอากาศบ้านเราก็รู้เนอะว่ามันร้อน
ดังนั้น ถามว่า มีสองเครื่องมันจะทับไลน์กันมั้ย ก็ส่วนนึง เพราะทั้งสองเครื่องทำ Espresso ได้เหมือนกัน มันจะไปอยู่ที่ ฟอง หรือ Creama ละ พอ Vertuo มันใช้การปั่นเหวี่ยงเลยทำให้ได้ฟองออกมาเยอะกว่า ใครชอบ แล้วต้องการเครื่องเดียว ก็ต้องไปเล่น Vertuo ละ ส่วนที่เหลือจะเห็นว่าขนาดของมันจะไม่ทับไลน์กันขนาดนั้น อย่าง Vertuo มันจะไม่มี Lungo แต่เป็น Grand Lungo ที่มีขนาดใหญ่กว่าแทน เลยทำให้ถ้าเราชอบขนาดใหญ่ ๆ เลย เราว่า Vertuo ก็จะตอบโจทย์กว่า แต่ถ้าเราเน้นการดื่มแบบอิตาเลี่ยน เราก็ยังมองว่า Classic Nespresso ตอบโจทย์กว่าเยอะมาก ดังนั้น เครื่องทั้งสองแบบมันก็จะตอบโจทย์การดื่มที่แตกต่างกัน ทำให้มันไม่ได้มาแทนซะทีเดียว อย่างที่เราบอกนั่นเอง
สรุป
Nespresso Vertuo เป็นเครื่องทำกาแฟแคปซูลระบบใหม่ที่ Nespresso ประเทศไทยเอาเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา เรียกว่าเป็นการดื่มกาแฟอีกแบบเลยก็ว่าได้ มาพร้อมกับขนาดแก้วที่ใหญ่โตอลังการเรียกว่า แก้วเดียวจบแน่นอน แก้ว Mug ขนาด 230ml นี่คือเยอะมาก ๆ แล้วนะ แตกต่างจาก Classic Nespresso ที่จะให้อยู่สุดที่ 110 ml บนขนาด Lungo เท่านั้น นอกจากนั้น Creama ที่ Vertuo ให้ออกมาได้เยอะมาก ๆ ทำให้เราดื่มด่ำกับกลิ่น และ ความนุ่มของ Creama เพิ่มอรรถรสการดื่มเข้าไปได้อีกมหาศาล แนะนำให้ไปลองก่อนที่ Nespresso Boutique ทุกสาขา