Macbook Pro 2018 ใช้มา 6 เดือนเป็นไงบ้าง

เมื่อ 6 เดือนก่อน เราก็ได้ Macbook Pro 13-inch 2018 มา จนเมื่อไม่กี่วันก่อน Apple ก็ Surprise Mother Fu_cker โดยการเนียน ๆ ออกรุ่นใหม่มาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ก็โอเคไม่เป็นไร วันนี้เราอยากจะมารีวิวว่า 6 เดือนที่ผ่านมา เราอยู่สุขดีกับ Macbook Pro 2018 ยังไงบ้าง อะไรดี อะไรห่วย

เราเคยรีวิวเจ้าเครื่องนี้ตอนพึ่งใช้มาได้เดือนเดียวเองมั่ง ถ้าอย่างอ่านอย่างละเอียดอ่านได้ ที่นี่

การใช้งาน

การใช้งานของเราส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของการเรียน ซึ่งที่เรารันในเครื่องตัวเองมันก็ไม่ได้ใช้สเปกเยอะเท่าไหร่ ส่วนงานที่เหลือ เราก็ SSH เข้าไปใช้ในเครื่องใหญ่แทน ดังนั้น ในการทำงานที่เราทำส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้งานเครื่องหนักเท่าไหร่เลย นอกจากนั้น งานเบา ๆ อย่างการ ตอบอีเมล์ เปิดเว็บ งานเอกสารแบบเบสิค โน้นนี่นั่น ก็ได้ใช้งานบ้างงงงงงง ส่วนมาก ๆ งานพวกนี้ เราจะจบที่ iPad Pro ซะหมดเลย

งานที่ทำหนักขึ้นมาคือ การใช้งานสำหรับเขียนโปรแกรม ถึงเราจะบอกว่า เราไม่ค่อยได้เขียนโปรแกรมแล้ว แต่มันก็ต้องมีบ้างแหละ อย่าง Blog ที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ มันทำมาจาก Gatsby.js ที่เป็น Static Site Generator นั่นหมายความว่า การที่เราจะ Upload บทความสักอันใหม่ เราก็ต้องทำการ Build และ Upload ทั้งหมดลง Server มันเลยทำให้งานพวกนี้ต้องใช้ CPU ในการทำงานค่อนข้างมาก หรืองานเขียนโปรแกรมที่เราก็มีรับมาบ้าง ก็จะเป็นพวกการพัฒนาเว็บที่ไม่ได้ใช้เครื่องทรัพยากรสูงอะไรมากเลย แต่ที่แอบใช้เครื่องหนักก็น่าจะเป็นงานพวก Machine Learning ทั้งหลาย บางทีรันจนเครื่องร้อนเลยก็มี

และงานที่น่าจะ Hardcore สุดที่เราทำคือ การแต่งรูป และ ตัดต่อวีดีโอ อย่างที่รู้ว่า ตอนนี้เราก็ขยับมาทำ Content ที่เป็นวีดีโอบ้างแล้ว กล้องที่เราใช้แรก ๆ มันก็เป็นกล้อง Nikon D5300 ตัวเก่า ไฟล์ที่ได้ออกมามันก็เป็นไฟล์ 1080p ทั่ว ๆ ไปเลย ไม่ได้พิเศษอะไร แต่พอตอนนี้เราขยับมาใช้ Sony A7II พร้อมกับไฟล์ที่เป็น High Bitrate แน่นอนว่า ไฟล์ขนาดใหญ่ขึ้นแน่ ๆ และพลังของการประมวลผลที่ต้องใช้ก็ต้องสูงขึ้นเหมือนกัน

หลัก ๆ ที่เราใช้เครื่องก็จะประมาณนี้แหละ เราก็ใช้งานน่าจะเกือบทุกวันเลยหละ บางวัน เราก็ไม่ได้เอาคอมไปเรียนด้วย ใช้แต่ iPad บางวันก็เอาไปเรียนด้วยมันก็จะใช้งานโหดหน่อยก็แล้วแต่โอกาสละกัน ตั้งแต่ใช้ iPad มาก็เริ่มรู้สึกว่า ขี้เกียจแบกคอมไปข้างนอกมาก

Performance

มาที่เรื่องแรกกันก่อน เราอยากเล่าเป็น Topic แยกจากประเด็นอื่นเลยคือ เรื่องของ Performance เพราะมีหลายคนถามมาเยอะมากว่า มันจะไหวเหรอ ต้องซื้อขนาดไหน มาดูกันทีละงานเลยละกัน

งานเอกสาร เข้าเว็บเราขอข้ามไปเลยนะ เพราะยังไงมาระดับนี้มันก็ต้องไหวอยู่แล้ว ไม่ไหวก็บ้าละ งานที่หลายคนสงสัยคือ งานพวกโปรแกรมมิ่ง และ Multimedia ต่าง ๆ อย่างการตกแต่งรูปภาพ และ การตัดต่อวีดีโอ

เริ่มที่งานโปรแกรมมิ่งก่อนละกัน อย่างที่บอกไปว่างานที่เราทำส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานพวกการเขียนเว็บซะส่วนใหญ่ โปรแกรมที่เราน่าจะต้องรันก็จะเป็น Docker เพื่อจำลองสภาพบน Production ขึ้นมา บางทีระบบใหญ่มาก ๆ เราก็ต้องรัน Container จำนวนมาก พร้อม ๆ กัน ถามว่ามันไหวมั้ย ชิว ๆ เลยหละ ถ้าไม่ได้รันอะไรที่มันแปลก ๆ ส่วนโปรแกรมที่ยังไงเขียนเว็บก็ต้องรันไปพร้อมกันเลยคือ ทั้ง Web Browser และ Text Editor ไม่ก็ IDE

การรันงานอะไรพวกนั้น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เว้นแต่งานที่เอามาทำมันจะมีขนาดใหญ่มาก ๆ พวกนี้ ถ้าต้องทำบ่อย รุ่น 13 นิ้วอาจจะยังไม่เหมาะ อาจจะต้องไปพิจารณาใช้ 15 นิ้วที่มี CPU ทรงพลังมากกว่านี้ หรือถ้าใหญ่กว่านั้น เราก็จะทำงานบน Server ที่พลังเยอะกว่านี้มากเลย

ส่วนพวกงานตัดต่อวีดีโอ ถ้าถามเรา ณ ตอนนี้ ไฟล์ที่เราทำจากกล้อง A7II เครื่องมันก็พอรับไหวอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้ลื่นไหลอะไรแค่พอทำได้ ทั้งนี้โปรแกรมที่เราใช้ตัดต่อเป็น Final Cut Pro X มันก็จะ Optimise มาสำหรับ macOS อยู่แล้ว ทำให้มันลื่นอยู่แล้ว แต่ถ้าใครใช้โปรแกรมอื่นมันก็จะอีกสเต็ปนึง อาจจะลื่นไม่เท่า อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยลองเพราะวีดีโอที่เราทำตอนนี้ เราก็ไม่ได้ใช้การทำงานที่ซับซ้อนและกินเครื่องมากเท่าไหร่ อย่างมากเราก็แค่ Colour Grading เท่านั้นเอง นั่นคือมากสุดแล้วนะ ไม่ได้ทำพวก CG อะไรมากมาย เพราะเราทำไม่เป็นนั่นเอง5555 ส่วนการ Render ยอมรับว่า มันก็จะใช้เวลาค่อนข้างนานอยู่นะ ถ้าทำวีดีโอที่ไม่ได้มีความยาวมาก มันก็โอเคแหละ แต่ถ้าเริ่มมี Timeline ที่ซับซ้อนมาก ๆ มันก็จะไม่ไหวเอานะ ถ้ามีตังค์ External GPU ก็เป็น Option ที่ดีเหมือนกัน

สรุปก็คืองานวีดีโอ ถ้าทำแบบเบสิค ด้วยความละเอียด 1080p ไม่ได้ทำอะไรซับซ้อนมาก ๆ มันก็พอไหว ชิว ๆ เลยละ แต่ถ้า Timeline ของเราเริ่มซับซ้อนมาก ๆ เข้า ไม่ก็ความละเอียด 4K ถึงจะเป็น Final Cut ก็ไม่น่าเอาอยู่เหมือนกัน ส่วน Storage ในเครื่องที่เราซื้อมามันใช้ 256 GB ก็ไม่ไหวแฮะ ถ้าจะทำงานเราก็จะเสียบ External HDD ไว้แล้วทำงานในนั้นเลย

ถ้าจะเอามาทำงานที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก การซื้อ External HDD มาใช้ทำงานก็ทำให้เราประหยัดเงินกว่าการไปเพิ่ม SSD ที่มากับเครื่อง แต่ถ้าเราใช้งานที่เป็น Professional มาก ๆ เราก็ยังแนะนำว่าให้ไปซื้อตัวที่มี SSD ความจุสูง ๆ ก็จะดีกว่า เพราะความเร็วต่างกันเป็นหลายเท่าเลยหละ

ส่วนการตกแต่งรูปภาพ ตัว 13 นิ้ว ก็เอาไหวอยู่นะ ความแลคใน Lightroom มันก็มีบ้างแหละเวลาเราทำ Filter หนัก ๆ มันก็แอบอ้วกอยู่เหมือนกัน ยิ่งเราได้ใช้บนเครื่องที่สเปกสูงกว่านี้แล้วกลับมาใช้ Macbook Pro มันจะรู้สึกเลยว่า หน่วง ๆ หน่อย ถ้าไม่เคยใช้มาก่อน เราก็บอกเลยว่า มันใช้ได้เลยแหละ ถ้าไม่ได้เป็น Professional

อ๋อ อีกอย่างที่ใครที่เข้ามาอ่านแล้วไม่เคยซื้อ Macbook อะไรพวกนั้นมาก่อน เราแนะนำว่าให้ซื้อตัวที่มีความจุ 256 GB ขึ้นไปนะ เพราะเผื่อเราลง Windows ใน Bootcamp ด้วย มันก็จะแบ่ง 128 GB เท่า ๆ กัน มันก็พอไหวอยู่ ไม่ได้หนักอะไร แต่ถ้าซื้อ 128 GB มาลำพังใช้ macOS เป็นหลักก็น่าจะรอดยากเหมือนกัน

Thermal

สำหรับตัว 13 นิ้วที่เราใช้อยู่ ปัญหาเรื่องความร้อนก็ไม่ได้เดือดร้อนเหมือนพวกรุ่น 15 นิ้วเลย เพราะ CPU มันไม่ได้แรงอะไรขนาดนั้น แค่ i5 เท่านั้นเอง เมื่อรันเต็ม 100% ทุก Core อุณหภูมิก็พุ่งสูงอยู่ แต่ Clock Speed ก็ไม่ได้ตกแต่อย่างใด ใช้เครื่องได้เต็มประสิทธิภาพแน่นอน

เวลาร้อนจัด ๆ มันก็ไม่ได้ร้อนจนเราจับไม่ได้เลยนะ และตรงที่วางมือก็ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นเหมือนจะอุ่นกว่าปกตินิดหน่อย แต่มันก็เข้าใจได้ไง เพราะตัวเครื่องมันทำจากวัสดุที่นำความร้อนได้ทั้งเครื่อง มันก็ไม่แปลกที่ความร้อนมันจะวิ่งจากใต้เครื่องมาที่วางมือบ้างเป็นครั้งคราวก็ไม่ได้อะไรชิว ๆ

และเรื่องที่ใครถามเรื่องเสียงบอกเลยว่าตามสไตล์ Apple อีกแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะถึงพัดลมจะวิ่งสุด ๆ แล้วจริง ๆ เสียงมันก็ไม่ได้ดังอะไรจนเรารำคาญ

ตัวเครื่อง และ Function อื่น ๆ

เรื่องนี้เราไม่รู้จะเล่าอะไรเหมือนกัน ถ้าใครเคยใช้ Macbook มาก่อนแล้ว เครื่องนี้มันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ Apple ก็ยังคงความเป็น Apple ได้เหมือนเดิม จับแล้วก็ฟิลลิ่งดีมาก ตัวเครื่องถูกออกแบบมาให้ค่อนข้างคงทน เป็นรอยค่อนข้างยาก แต่ถ้าเป็นขึ้นมาละก็ มีนอนน้ำตาตกในแน่ ก็ล่าสุด ผ่านมา 6 เดือนเราก็ได้มารอยนึงอยู่ตรงบานพับของเครื่องด้านขวา ที่ได้มาจากร้านชานมไข่มุขที่เซนปิ่น ตอนนั้นก็คือ เครียดจนทำการบ้านต่อไม่ได้เลย แต่ก็เอาเถอะ โดนไปแล้วก็นะ ย้อนกลับไปไม่ได้ ก็ช่างมันเถอะนะ


เห็นตรงวงแดง ๆ นั่นมั้ย เล็ก ๆ เลย แต่โคตรปวดใจ เอาซะแทบทำงานไม่ลง

การที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันด้านการปวดใจจากการที่เครื่องเป็นรอยได้อย่างดี รอยครั้งแรกมันจะช้ำใจหน่อย แต่ครั้งต่อไปก็ เออ ช่างมัน ถถถถถถถถ ได้เหรอแบบนี้

ตัวเครื่องอีกจุดนึงที่เรารู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปจากรุ่นเก่าคือเรื่องของ Keyboard และ แถว ๆ Touch Bar ทั้งหลาย เครื่องเก่าของเรามันเป็น Macbook Pro 2015 ที่ไม่ได้มี Keyboard แบบนี้ และ Touch Bar ก็เช่นกัน

จากการใช้งาน ตอนนี้ไป ๆ มา ๆ เราก็เริ่มชอบ Keyboard ตื้น ๆ แบบนี้แล้วนะ มันพิมพ์แล้วรู้สึกมันส์มากเลย เสียงของมันพิมพ์แล้วดังแจ๊ะ ๆ ฟังแล้วเพลินดี ยิ่งถ้าพิมพ์ Blog เหมือนตอนนี้นะ ยิ่งมันส์เลยหละ

ส่วน Touch Bar ที่เราก็พึ่งได้มาใช้ในรุ่นนี้เป็นครั้งแรก ก็บอกเลยว่า อื้ม... ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะก็ยังยืนยันคำเดิมว่า Menu ที่อยู่ใน Touchbar มันสามารถใช้ Shortcut บน Keyboard กดได้เหมือนกัน ไม่ได้ทำให้สะดวกขึ้นเท่าไหร่เลย นอกจากนั้นเราว่า มันน่าจะทำให้ปวดหัวขึ้นอีก เพราะพวก Function ทั่วไปที่เราใช้กันบ่อย ๆ อย่างการปรับเสียง และแสงหน้าจอ มันก็ต้องลาก บางทีเราลากจนสุด แต่มันก็ยังไปไม่สุด ทำให้เราต้องลาก 2 ครั้ง รู้สึกว่ามันแอบไม่สะดวกไปหน่อย

แต่ที่เราค่อนข้างชอบเลยคือ Touch ID ที่เป็นตัวสแกนลายนิ้วมือ ที่เราสามารถใช้ในการเข้าเครื่อง การจ่ายเงินผ่าน Apple Pay ที่เราก็ไม่ได้ใช้ และการติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นตัวสแกนลายนิ้วมือที่สะดวก และใช้งานได้ดีมากตัวนึงเลยนะ ต่างจากยี่ห้ออื่นที่มีเหมือนกัน เราก็ยังไม่ได้เห็นว่า การที่ยี่ห้ออื่นมีมันจะ Integrate ได้แบบ เหมือนมีเพื่อให้รู้ว่าชั้นมีอะไรแบบนั้น ไม่ได้รู้สึกว่ามีแล้วดี แค่มีให้มี ต่างจาก Touch ID ที่มันเอามาใช้ทำอะไรได้จริงเราบอกเลย

USB-C

USB-C เป็นเรื่องที่หลายคนถามเรามาเยอะมากว่า Dongle Life เป็นยังไง เราก็คงจะตอบว่า มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเลยนะ ก่อนที่เราจะใช้เราก็คิดว่ามันจะพังแน่ ๆ แต่พออยู่ไป อาจจะเพราะด้วยงานที่เราทำ กับอุปกรณ์ที่เรามีมันเป็น USB-C ด้วยมั่ง ทำให้เราไม่ค่อยต้องใช้ Dongle เท่าไหร่ ยกเว้นตอนทำงานกับไฟล์ใหญ่ ๆ ที่ในเครื่องมันไม่พอ เราก็อาจจะต้องเสียบ External Harddisk ตอนนั้นแหละมันก็ต้องใช้ Dongle

ส่วนถ้าเราต้องย้ายไฟล์เบา ๆ เมื่อก่อนก็ใช่แหละ Flash Drive หรือที่บางคนก็เรียก Thumbdrive ก็ต้องใช้ใช่ม่ะ แต่มาตอนนี้โลกมันหมุนไปแล้วอะ งานหลาย ๆ อย่างเราก็เอาลง Google Drive ไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไฟล์มันก็ Sync ถึงทุกอุปกรณ์อยู่แล้ว ทำให้ความต้องการในการใช้ Flash Drive ในชีวิตประจำวันมันเลยหายไป

สิ่งที่เรามองว่า USB-C มันเข้ามาแล้วดีคือ ความยืดหยุ่น เมื่อก่อน Port มันก็มาเท่าที่มันมีให้แหละ ถ้าเราจะเสียบอะไรที่มันไม่มี มันก็ไม่ได้ แต่พอมาเป็น USB-C เราจะแปลงมันเป็นอะไรก็ได้หมด ถ้ามีคนทำ Dongle มาให้อะนะ

นอกจากนั้นแล้ว หัวชาร์จ มันยังยืดหยุ่นมากขึ้นไปอีก ใครที่ใช้ Macbook รุ่นก่อน ๆ น่าจะรู้ดีว่า สายที่เป็น Magsafe พอใช้ไปนาน ๆ มันจะเริ่มมีอาการขาดบ้างแหละ หักในบ้างแหละ แล้วเปลี่ยนที เปลี่ยนแค่สายไม่ได้นะ เพราะสายกับ Adapter มันเชื่อมติดกันเลย ทำให้สายหักทีก็ต้องซื้อทั้งชุดใหม่ ก็หลายพันอยู่ แล้วเวลาเราไปซื้อ สำหรับใครที่ใช้รุ่น 13 นิ้ว มันจะไม่มี Adapter ขนาด Watts ที่เท่ากับที่มาในกล่องขาย มันจะมีอันเล็ก ๆ สำหรับ Macbook Air รุ่นเก่า กับ 85 Watts ของ Macbook Pro 15 นิ้วไปเลย

เรื่องจำนวน Watts ไม่ใช่ปัญหาหรอก ก็คือเราซื้อได้แหละ เอามาใช้ได้เหมือนกัน แต่ปัญหาคือ น้ำหนัก ถ้าใครใช้รุ่นที่เป็น 13 นิ้ว แล้วลองไปถือ Adapter ของรุ่นที่เป็น 15 นิ้วจะรู้สึกเลยว่า รุ่น 15 นิ้ว Adapter มันหนักกว่ากันเยอะเลย เวลาพกมันก็ต้องถือหนักขึ้นโดยใช่เหตุน่ะ

เพราะฉะนั้น การมี USB-C ที่ชาร์จแบบแยกชิ้น ทำให้มันดีอยู่ 2 เรื่อง

เรื่องแรกคือ สายขาด ก็ซื้อแค่สายใหม่ ถ้าซื้อของ Apple ก็อยู่ที่ 690 บาทเท่านั้นเอง หรือถ้าไปซื้อของยี่ห้ออื่นซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดราคาก็จะถูกลงกว่านี้อีก เอาจริง ๆ สายยี่ห้ออื่นเราบอกเลยว่า ทนกว่าเยอะ แต่เวลาไปซื้อ แนะนำให้เช็คนิดนึงนะว่า สายเส้นนี้มันจ่ายไฟได้มากสุดเท่าไหร่ พอที่จะจ่ายให้เครื่องได้มั้ย เพราะ USB-C มันใช้ตั้งแต่โทรศัพท์ ยัน Laptop กำลังไฟต่างกันลิบ

และเรื่องสุดท้ายคือ ความนิยม อย่างที่เราบอกไปว่า USB-C มันเป็นที่นิยมมาก ทำให้นอกจากสายที่จะผลิตออกมามากมายแล้ว Adapter ก็เช่นกัน เราจะเห็นว่า Adapter ที่มากับ Apple มันมีขนาดใหญ่ และ หนักมาก เมื่อก่อนเราก็คงต้องยอมรับ แล้วก้มหน้าใช้ไป แต่พอมันเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้เท่านั้นแหละ เราก็สามารถที่จะไปซื้อ Adapter ของยี่ห้ออื่น ๆ ที่มีขนาดเล็กกว่ามาได้ (แต่จำนวน Watts อย่างน้อยก็ให้ได้เท่ากับ Adapter ที่มาในกล่องนะ)

หลัก ๆ แล้วทั้ง 2 เหตุผลนี้ก็คือ เรื่องของทางเลือกในการใช้งานนั่นแหละ มันไม่ได้ผูกมัดให้เราต้องซื้อ Adapter จ่ายไฟ และสายของ Apple อีกต่อไปแล้วก็ได้ แล้วแต่เรา เราอาจจะชอบของค่ายอื่นมากกว่า เราก็สามารถไปซื้อมาใช้ได้ อันนี้เราชอบมาก

การพกพา

แน่นอนว่าเป็น Apple การพกพาสะดวก และเบานั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างดีมาตลอด ไม่งั้นเราก็ไม่ซื้อหรอก เพราะส่วนตัวเราชอบเครื่องที่ บาง เบา พกพาได้สะดวก ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นแหละ สะดวกจริง ๆ

ยิ่งการชาร์จไฟเข้า ทำได้ด้วยหัว USB-C ที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เดี๋ยวนี้มันก็ถูกเอามาใช้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้อุปกรณ์ที่เราใช้ทั้งหมดเป็น USB-C ทั้งหมดแล้ว ทำให้เวลาพก ก็พกแค่ที่ชาร์จ USB-C อย่างเดียว แต่ข้อเสียก็คือ ต้องใช้ Dongle เต็มไปหมดเพื่อที่จะเสียบอุปกรณ์ได้เหมือนเดิมที่เคยเป็นตอนใช้เครื่องเก่า

สรุป

ถามว่าเราใช้มา 6 เดือนแล้วโอเคมั้ย เราก็ตอบได้เลยว่า เราโอเคมากเลยนะ เอาจริง ๆ ถ้าไม่นับ Touch Bar ที่มันอาจจะยังทำหน้าที่เฉพาะตัวของมันไม่ได้ดีนักตอนนี้ แต่เราก็ว่ามันยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก Touch ID ที่ทำงานได้ค่อนข้างดี การมี USB-C ที่ทำให้ปลดล๊อคความเป็นไปได้มากขึ้น แต่เราก็ต้องหา Dongle มาใช้มากมาย ถัดมาคือตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเบาแต่ Performance ของเครื่องสามารถทำงานพื้นฐานได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าจะต้องทำงานที่มีความซับซ้อน และขนาดใหญ่อาจจะต้องพิจารณาไปใช้รุ่น 15 นิ้วแทนน่าจะเหมาะกว่าเยอะเลย รวม ๆ ก็คือชอบเลยแหละ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าลองพิจารณาดูเลยหละ ถ้าชอบเครื่องที่เบา และการทำงานที่ลื่นไหล

เราเคยรีวิวเจ้าเครื่องนี้มาแล้ว อันนี้เป็นเพียงประสบการณ์หลังจากใช้มาได้ 6 เดือน อ่านรีวิวตัวเต็มได้ ที่นี่