รีวิว iPhone 11 Pro Max อีกก้าวของ Apple ในราคาที่ถูกลง

เวลาล่วงเลยมา เราก็พึ่งเปลี่ยนมาใช้ iPhone 11 Pro Max หลังจากเครื่องก่อนใช้ Note 9 ที่เราเคยรีวิวไปเมื่อปีก่อน ถือว่า เป็นการย้ายค่ายครั้งใหญ่ของเราเลยก็ว่าได้ ไหน ๆ เราก็มารีวิว iPhone 11 Pro Max กันดีกว่า

Specification

มาเริ่มต้นที่สเปกของ iPhone 11 Pro Max กันก่อนเลยดีกว่า เครื่องนี้มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล A13 Bionic จาก Apple เอง ที่ไม่ต้องถามเลยว่า มันจะรันอะไรได้บ้าง เพราะเจ้านี่มันเก็บเรียบ รันมันได้ทุกอย่าง ยัน Render Video 4K ยังรอดได้เลย ส่วน RAM มาพร้อมกับขนาด 4 GB ที่บอกตามตรงว่า แอบน้อย ไปหน่อยสำหรับ Processor ระดับนี้

ส่วนหน่วยความจำ มีให้เลือกตั้งแต่ 64, 256 และ 512 GB กันไปเลย โดยเราซื้อตัวล่างสุดคือ 64 GB มา (เอาจริง ไม่ได้ใช้เยอะขนาดนั้นเลยซื้อมาแค่นี้)

แกะกล่อง

ตัวกล่อง ถ้าเราสังเกต iPhone 11 ทั้งหลายเป็นรุ่นแรกเลยนะ ที่หันด้านหลังเครื่องออกมาในหน้ากล้อง ลองไปสังเกต iPhone รุ่นอื่น ๆ มันก็จะเอาด้านหน้าจอหันออกมาเป็นรูปกล่อง

แน่นอนว่า ตรงกล้องก็จะมีนูนออกมาด้วย เพื่อให้รู้ว่า นี่ไง กล้อง !!!

ด้านข้าง ก็จะเป็นสีดำ กับสกรีนคำว่า iPhone ลงไป

ด้านหัว กับ ท้าย มันก็เป็น Logo Apple เท่านั้นเลย

ด้านหลัง ก็เหมือนเดิมเป็นรายละเอียดของตัวเครื่อง ซึ่งเครื่องที่เราซื้อมาใช้ในครั้งนี้จะเป็น iPhone 11 Pro Max ความจุ 64 GB สี Midnight Green ที่มันเป็นสีใหม่เลย กำลังฮิตเลย

เมื่อเปิดกล่องออกมา เราจะเจอตัวเครื่องวางอยู่ แต่เราแกะไปแล้วฮ่า ๆๆๆๆๆๆ ถ้าเปิดกล่องใหม่ออกมา เราจะเจอ iPhone เรานอนอยู่ แต่สิ่งที่แปลกไปจาก iPhone รุ่นก่อน ๆ คือ Apple เลือกที่จะหงายหลังเครื่องขึ้นมาแทนที่จะคว่ำลง และเมื่อเอาเครื่องออกมา เราจะพบกับพวกกล่องที่ใส่คู่มือต่าง ๆ

ด้านล่างมันก็จะมี Adapter และหูฟังของ Apple เองเลย ซึ่งเราก็ไม่ได้ใช้ฮ่า ๆๆ

ความพีคของ Adapter อันนี้คือ มันเป็น Adapter แบบ Fast Charge ที่หลายคนเรียกร้องให้แถมมาเยอะมาก ในที่สุด Apple ก็ยอมแถมมาสักที

โดยหัวปลั๊กของกล่องที่ขายในไทยจะเป็น สองขาแบนทั่ว ๆ ไป และด้วยความที่มันเป็น Fast Charge ทำให้หัวที่ใช้ต่อกับสาย มันจะต้องเป็น USB-C ไปโดยปริยาย

ทำให้สายที่มันแถมมาในกล่องจะเป็นสาย Lighting to USB-C ไป

ส่วนหูฟังก็จะเป็น Earpod ธรรมดา ที่เป็นสาย โดยหัวจะเป็น Lighting ที่เราสามารถต่อตรงเข้ากับตัว iPhone ได้เลย โดยที่ไม่ต้องหาหัวแปลง ในกล่องก็มีแค่นี้แหละ โทรศัพท์ราคาเกือบ 40k ก็มีแค่นี้แหละ 😂

ตัวเครื่อง

Design ตัวเครื่องต้องบอกเลยว่า แทบไม่ต่างจากรุ่นก่อนอย่าง iPhone XS Max เท่าไหร่เลย แต่มาใน iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับหน้าจอแบบใหม่ที่ Apple เรียกว่า Super Retina XDR OLED ขนาด 6.5 นิ้ว

ด้านข้างซ้าย ก็จะมาพร้อมกับปุ่มเปิดปิดเสียง พร้อมกับ ปุ่มเพิ่มลดเสียง ตามปกติของ iPhone

อีกข้างเป็นปุ่ม Power และถาดใส่ซิม โดยด้านข้างของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะทำจาก Stainless steel ขัดมัน ทำให้มันดูหรูหราหมาเห่าเข้าไปอีก 🐕 แต่ การที่มันเป็นผิวมันก็ ย่อมทำให้ นิ้วมือ เกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา

ด้านหลัง เป็นกระจกแบบด้าน เราว่ามันเป็นส่วนที่ลวงตามากที่สุดแล้วสำหรับ iPhone รุ่นนี้ เพราะด้านหลังมาทำมาจาก กระจกเพียงแผ่นเดียวเลย ดูเผิน ๆ แล้ว มันเหมือนจะเป็น โลหะ อะไรสักอย่างมะ เพราะมันดูด้าน ๆ เหมือนโลหะเลย กับ ตรงกล้อง ถ้าไม่เคยจับมาก่อน จะคิดว่า ตรงกล้องกับ แผ่นหลังมันแยกกัน จริง ๆ แล้ว เปล่าเลย มันเป็นชิ้นเดียวกันเลย แค่เป่าให้ตรงกล้องมันนูนขึ้นมานิดนึงเท่านั้นเลย พร้อมกับ ไม่ขัดด้านตรงกล้องแค่นั้นเลย

พร้อมกับ Logo Apple ที่มาอยู่กลางเครื่องแล้วนะ ฮ่า ๆ เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ ส่วนในภาพ ที่เห็นเป็นลาย ๆ นั่นคือ ฟิล์ม ที่เราติดเพิ่มนะ มันเป็นลายแบบนั้นแหละ ของจริงมันด้าน ๆ ปกติเลย ส่วนตัวกล้องรอไปอ่าน ตรงกล้องละกันนะ ฮ่า ๆ

ด้านบนไม่มีอะไร มีแค่เสาอากาศเท่านั้น มันอยู่ตรงรอยบากนั่นแหละ

ด้านล่าง ก็จะเป็น Microphone, Port Lighting สำหรับถ่ายข้อมูล และ ชาร์จ และ ลำโพงนั่นเอง

Apple ยังเคลมด้วยนะว่า ตัวเครื่องได้มาตรฐาน IP68 ที่สามารถกันน้ำลึก 4 เมตร 30 นาที แต่เราก็ไม่แนะนำให้เอาไปลองเล่นเท่าไหร่ เราว่า มีไว้มันก็อุ่นใจเวลาเราต้องลุยฝน หรือ น้ำหกใส่อะไรแบบนั้น ก็จะได้มั่นใจได้ว่า มันจะรอดตาย

หน้าจอ

หน้าจอของ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับขนาด 6.5 นิ้ว แบบ OLED ที่ทำให้ส่วนที่มืด มืดสนิทจริง (ทำให้เวลาเราเอามาใช้กับ Dark Mode มันสวยมาก ๆ) พร้อมกับความสว่าง 800 nit บนโหมดปกติ และ 1,200 nit บน HDR Content ทำให้หน้าจอมันสู้แสงได้เป็นอย่างดี เวลาเราเอาไปใช้เวลาในที่แสงจัด อย่างกลางแดด ก็ยังทำให้เรามองเห็นหน้าจออยู่ นอกจากนั้น หน้าจอยังรองรับทั้ง HDR10 และ Dolby Vision เพื่อการรับชม HDR Content ได้อย่างเต็มอิ่มสีไปเลย ส่วนงาน Productivity ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะหน้าจอยังรองรับ ขอบเขตสีกว้างแบบ P3 อีกด้วย

ในเรื่องของการใช้งาน เราบอกเลยว่า มันเป็นหน้าจอที่สู้แสงข้างนอกได้ดีมาก ๆ เราเอาไปใช้กลางแดด ตอนเที่ยง ก็ยังรอดเลยนะ เมื่อก่อน ถ้าเราเอารุ่นก่อน ๆ ไปเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กัน น่าจะมองไม่เห็นหน้าจอเลย

นอกจากนั้น การที่มันเป็น OLED ที่ทำให้ส่วนที่มืด มืดสนิทแล้ว ใช่แหละ ทำให้ Dark Mode สวยขึ้น เพราะมันดำสนิท แต่อีกส่วนที่เราว่า มันทำได้ดีคือ การประหยัด Battery เพราะพวกหน้าจอแบบ OLED เวลามันมืดสนิทคือ มันจะดับไฟใน Pixel ตรงนั้นเลย ทำให้เราประหยัดแบตมากขึ้นนั่นเอง

ส่วนเรื่องพวก Content Consumption ก็ถือว่า โคตรดีเลย ด้วยความที่มันมี HDR อะไรพวกนั้น ทำให้เวลาเราดู HDR Content มันเต็มตามากขึ้นมากเลย อันนี้เราชอบมาก พร้อมทั้ง True Tone ที่จะค่อยปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอ ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ทำให้เวลาเราอ่าน หรือจ้องโทรศัพท์ ทำให้เราไม่ปวดตามากเท่าไหร่ แต่เวลาแต่งรูป เราก็จะปิดนะ เพราะมันทำให้สีเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้ เปิดใช้งานแค่เวลาปกติเท่านั้นแหละ

Sound

มาที่เรื่องเสียงกันบ้าง ลำโพงที่มากับ iPhone 11 Pro Max เป็นลำโพงแบบ Stereo ที่ให้เสียงที่ สว่างชัดเจนมาก ๆ แถมยังดังอีกด้วยนะ ดังจนเออ ตกใจฮ่า ๆ กับรอบรับ Dolby Atmos ด้วย แต่เราต้องดู Content ที่เป็น Dolby Atmos ด้วยนะ ไม่ใช่ทุกอันจะเป็นนะ

ส่วน Jack 3.5 mm Apple ได้ตัดออกไปนานแล้ว ถ้าอยากจะใช้ก็ต้องไปซื้อหัวแปลงมา ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้มีมาให้ในกล่องนาจา หรืออีกทางเลือกคือ ใช้พวกหูฟังไร้สาย ก็ได้เหมือนกัน ส่วนตัวเราใช้ Sony WF-1000XM3 ที่เป็นหูฟังไร้สาย ก็ไม่ได้เจอปัญหาอะไรแปลก ๆ เลย

Microphone ก็มาให้เป็นแบบ Active Noise Cancelling เท่าที่ลองโทรศัพท์ดูแล้ว มันชัดมาก ๆ ไม่ใช่แค่ในที่เงียบ แต่ในที่คนพลุกพล่านก็ทำได้ดีเหมือนกัน เผลอ ๆ ไมค์ของหูฟังยังแย่กว่า

Connectivity


ที่บ้านยังใช้ WiFi5 อยู่เลย ยังไม่ได้ Upgrade เลย ฮ่า ๆ

iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สาย ที่ค่อนข้างใหม่ อย่าง WiFi เองก็รองรับ WiFi 6 ที่เป็นมาตรฐานใหม่ที่พึ่งเริ่มเอามาใช้กัน ถ้าบ้านใครมี Access Point ที่รองรับ WiFi 6 ก็ลองไปเล่นดูได้ มันทำความเร็วได้เยอะกว่า Gigabit Ethernet อีก

Bluetooth 5.0 ก็มา ที่จะทำให้ Latency ในการเชื่อมต่อลดลงเยอะมาก เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นก่อน ยิ่งถ้าเราต้องใช้หูฟังไร้สาย ยิ่งต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เลย

การเชื่อมต่อไร้สายอื่น ๆ ก็รองรับหมด GPS, NFC อะไรพวกนั้น รองรับหมด ส่วนการเชื่อมต่อผ่านสาย ก็จะเชื่อมต่อด้วย Lighting เหมือนเดิม แต่ที่น่าเสียดายคือ มันรองรับแค่ USB 2.0 เท่านั้น หลายคนที่ต้อง Transfer ข้อมูลจากโทรศัพท์ลงคอมเยอะ ๆ อาจจะไม่ชอบเท่าไหร่

จริง ๆ ถ้าอยากรู้ว่า รุ่นไหนมันเป็น USB Version ไหนก็ง่าย ๆ เลย ถ้าเป็น Lighting ทั้งหมด มันจะเป็น 2.0 หมดเลย ส่วนพวก iPad Pro มันจะเป็น USB-C พวกนั้น Version 3 ขึ้นไปหมดเลย ทำให้ความเร็วมันต่างกันเยอะมาก ๆๆๆๆๆ ซึ่งเอาจริง ๆ เราว่า ถ้าใช้ iPhone เราไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องโยนไฟล์อะไรเข้าคอมบ่อยขนาดนั้น เพราะส่วนใหญ่เราว่า ก็น่าจะใช้พวกไร้สายหมดแล้ว เช่นการ Upload ขึ้น Cloud ไปเลยอะไรแบบนั้น หรือ ถ้าใช้ Apple Ecosystem ด้วยกันก็ Airdrop เอาก็จบเรื่องแล้ว ไม่ต้องหาสายให้ยุ่งยาก

Performance

เรื่องนี้ เราอาจจะไม่ต้องเขียนเยอะให้เมื่อยมือเลย เพราะ iPhone 11 Pro Max มันมาพร้อมกับ หน่วยประมวลผลตัวโคตรแรงวัวตายควายล้มอย่าง A13 Bionic ที่นางได้รับการปรับปรุงจาก A12 Bionic ให้มีความแรงส์ และ ประหยัดพลังงานมากขึ้น

แค่ A12 Bionic ก็คือ ฟาดเรียบ เก็บทุก App เพราะมันแรง จนรัน App อะไรก็ได้แล้ววววว แรงเกิ้นนน มา A13 Bionic ก็คือ แรงกว่าเดิมอีก เรียกได้ว่า ฟาดเรียบ เก็บทุก App ไปเลยแจ้

ใน A13 Bionic ก็ยังมาพร้อมกับ Neural Engine Generation ที่ 3 สำหรับการทำ Machine Learning บนเครื่อง ย้ำนะ บนเครื่อง !!!!!! ให้มีความอลังการงานสร้างเข้าไปอี๊กกก สิ่งที่มันทำได้ดีขึ้นคือ พวกการถ่ายภาพแบบ Portrait Mode ที่ทำได้ดีขึ้นมาก ด้วยขุมพลังของ A13 Bionic

ส่วน RAM ที่มาพร้อมกับขนาด 4 GB เราว่ามันน้อยไปสำหรับ CPU ระดับนี้ เรากลัวว่า เมื่อไปเจอ App ที่มันกินทรัพยากรเครื่องค่อนข้างสูง CPU อะไหว แต่ RAM อาจจะไม่พอก็เป็นได้ แต่ก็นะ บางคนอาจจะบอกว่า มันเป็นโทรศัพท์จะทำอะไรขนาดนั้นทำไม แต่เมื่อก่อนใครจะคิดละเนอะว่า โทรศัพท์มันจะเป็นทุกอย่างในชีวิตขนาดนี้ ส่วนเรื่องของ Multitaskking ก็ทำได้ดีอยู่ แต่อาจจะไม่สุดเท่าไหร่ สลับ App ไปหลายอันหน่อย กลับมา มันก็ต้องโหลดใหม่ละ

ในแง่ของการใช้งานจริง เราบอกเลยว่า มันไม่ได้รู้สึกต่างจาก iPhone XS Max เท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะ iPhone 11 Pro Max ช้านะ แต่ คือ App มันลื่นและเร็วอยู่แล้ว เร็วกว่านี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้นแล้วอะ

การเล่นเกม ก็คือ ฟาดเรียบทุกเกม แบบ ปรับสุด ๆๆๆๆๆ เอาให้เต็ม Max ณ ตอนที่เขียนก็ยังไม่เจอเกมไหนนะ ที่จะทำให้ A13 มันเหนื่อยได้เลย เล่นไปเลยลื่น ๆ อย่าง ROV เราปรับสุด สุดทุกอย่างเลยนะ เล่น ๆ ไป ไม่ว่าจะฉากไหน FPS ไม่เคยต่ำกว่า 60 เลย

ความร้อนที่เกิดขึ้น เวลาเราเล่นเกม หนัก ๆ มันก็ไม่ได้ถึงกับร้อน แค่อุ่น ๆ เฉย ๆ ดังนั้นบอกได้เลยว่า Chip A13 Bionic ที่อยู่ใน iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max โคตรแรง ฟาดทุกเกม แรงทุกงานแน่นอน

Battery

เรื่องของ Battery เป็นอีกหนึ่งในเรื่องที่ Apple ปรับปรุง ในรุ่นนี้มาพร้อมกับ Battery ขนาด 3969 mAh ถือว่าเยอะมาก ๆ ทำให้เป็นโทรศัพท์ที่เราได้ใช้ไปแล้ว น่าจะเป็นเครื่องแรกเลยมั่ง ที่เราไม่ได้กังวลเลยว่า แบตเราจะหมดระหว่างวัน ทำให้เราไม่ได้เป็นห่วงเท่าไหร่เลย ที่จะไม่พกสายชาร์จไปด้วย

เท่าที่ใช้ไปคือ ใช้งานทั้งวัน ฟังเพลงผ่าน Spotify บ้าง Tidal บ้าง บน Bluetooth Headset, ดู Netflix, ดู Youtube, เปิดเว็บ, เล่นเกม (โดยเฉพาะเกมบน Apple Arcade ฮ่า ๆ), Personal Hotspot โดยเราถอดออกจากที่ชาร์จตอน 7 โมงเกือบ ๆ 8 โมง กว่า เรากลับบ้านมาตอน 3 ทุ่ม แบตยังเหลือเกิน 30% เลย ชิว ๆ มาก

นอกจากที่แบต มันจะอึดทนมากแล้วเนี่ย การชาร์จไฟกลับเข้าไปก็เร็วเหมือนกัน มันรองรับ Fast Charge ที่ 18 Watts ถึงจะไม่เร็วเท่าฝั่ง Android แต่เราว่า มันก็ถือว่าเร็วมาก ๆ แล้ว Apple เคลมว่า มันชาร์จ 50% ได้ใน 30 นาทีเท่านั้น

หลังจากที่ผู้ใช้หลายคนเรียกร้องจนแทบจะก้มกราบกันอยู่แล้ว กับเรื่องที่ Apple ไม่ยอมแถมที่ชาร์จแบบ Fast Charge สักที (จริง ๆ รุ่นก่อน ๆ ก็รองรับแล้วแหละ แต่ถ้าจะใช้ ต้องไปซื้อสาย และ Adapter เพิ่มเอา) คือลองคิดดูนะ โทรศัพท์ราคา 40k ยังไม่แถม ต้องให้ไปซื้อเพิ่มอีก มันก็ยังไง ๆ อยู่นะ มาใน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max Apple ยอมตามคนใช้สักที ด้วยการแถม Adapter Fast Charge ขนาด 18 Watts มาให้ในกล่องเลย ไม่ต้องไปซื้อเพิ่มแล้วนะ นั่นทำให้สายที่แถมมาจากเมื่อก่อน ที่เป็น Lighting to USB-A จะกลายเป็น Lighting to USB-C ทันที

ซึ่งนั่น ก็อำนวยความสะดวกให้คนที่ใช้ Mac ทั้งหลายเข้าไปอีก โดยเฉพาะผู้ใช้ Macbook ที่บ่นว่า ทำไมโทรศัพท์ของ Apple เองไม่สามารถเสียบเข้าเครื่องคอมของ Apple ได้ ทำไมต้องไปซื้อสายเพิ่ม เพื่อต่อด้วยอะไรแบบนั้น วันนี้สมใจแล้วนะทุกคน เย้

Camera

มาในส่วนที่หลายคนรอคอยกันแล้ว นั่นคือ กล้อง นั่นเอง บางก็ว่ามันโน้นนี่นั่น หลายอย่างมาก เอาจริง ดูตอนแรก เราก็ไม่ชอบเหมือนกันนะ แต่พอใช้ ๆ ไป เราก็ว่ามันเฉย ๆ นะฮ่า ๆ

ใน iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะมาพร้อมกับกล้อง 3 ตัวด้วยกัน โดยแบ่งเป็น 3 กล้อง ด้วยกัน 13mm f/2.4 สำหรับ Ultrawide, 26mm f/1.8 สำหรับ Wide และ 32mm f/2.0 สำหรับ Telephoto ซึ่งกล้องทุกตัวมาพร้อมกับความละเอียดเท่ากันหมดที่ 12MP พร้อมกับมี LED Flash ในขณะที่ iPhone 11 ธรรมดา จะมีกล้องเหมือนกัน ยกเว้น Telephoto ที่โดนถอดออกไป

ความสนุกในการถ่ายภาพของ iPhone 11 ทั้งหลาย เราว่าน่าจะอยู่ที่เลนส์ Ultrawide เพราะมัน Wide จริง มันทำให้เราสามารถเก็บภาพที่มีมุมมองแปลก ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยละ ต้องลองมาเล่นดูแล้วจะรู้ว่า กล้อง Ultrawide มันสนุกมาก

กล้องหน้า ก็มีการปรับปรุงเช่นกัน โดยเพิ่มความละเอียดเป็น 12 MP ให้เท่ากับกล้องหลังเป็น 23mm f/2.2 ที่อาจจะไม่ได้ให้ภาพที่มุมกว้างมากสักเท่าไหร่ แต่ก็พอที่จะเอาคนสัก 2-3 คนเข้ามาอยู่ในเฟรมได้ เพราะจริง ๆ เราว่า กล้องหน้ากว้างไปมันก็ไม่ดีเหมือนกัน เพราะ ถ้ากว้างเกิน ภาษาบ้าน ๆ น่าจะเรียกว่า บวม ละกัน ยิ่งกว้าง ภาพมันจะเหมือนบวมขึ้น ทำให้เวลาเราถ่ายคน มันจะออกมาแปลกมาก ๆ ซึ่งพวกนี้ สามารถแก้ได้บางส่วนด้วยชิ้นเลนส์พิเศษก็ได้ แต่พอเอามาใส่ในโทรศัพท์ที่ มันมีขนาดเล็ก ทำให้พื้นที่มันกลายเป็นข้อจำกัดไปทันที

ความดีงามของกล้องหน้าอีกอย่างคือ เวลาเราถ่าย Selfie แล้วถ้า Frame มันเต็ม มันจะ Zoom out ให้เองเลย คือเชื่อว่า หลาย ๆ คนน่าจะประสบปัญหาที่ว่า เมื่อคนเข้ามา Selfie ใน Frame เยอะขึ้น เราจะต้องเอื้อมมือไกลมากจน ยากที่จะเอื้อมมือไป Zoom out พอมันทำได้เองแล้ว ก็ดีเลย

ส่วนเรื่องคุณภาพของการถ่ายภาพบนกล้องหลังเราว่า มันดีมาก ๆๆๆ จริง ๆ โดยในรุ่นนี้มีการนำสิ่งที่เรียกว่า Deep Fusion เข้ามา เป็นลักษณะของเทคนิคในการประมวลผลภาพ ทำให้ภาพมีความคมชัดมากขึ้น และสีสันสวยตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น (ถ้าไปดูรีวิวต่างประเทศบางเจ้าจะบอกว่ายังไม่อัปเดต เพราะมันจะอัปเดตมาทีหลัง ตอนที่เราเขียนมันมานานแล้ว)

และอีกเทคนิคที่ iPhone รุ่นนี้เพิ่มเข้ามาคือ Night Mode ที่ทุกคนรอคอยนั่นเอง !!!! หลังจากที่โทรศัพท์ยี่ห้ออื่นๆ เขาทำกันหมดแล้ว โดยเทคนิคที่ใช้คือ การเปิดหน้ากล้องให้นานขึ้น เพื่อให้กล้องมันรับแสงได้มากขึ้นนั่นเอง นี่คือ เทคนิคที่หลาย ๆ ยี่ห้อใช้ แต่วิธีการประมวลผลบางอย่างอาจจะแตกต่างกันไป สำหรับของ iPhone นั่น เราว่ามันออกแบบมาให้ง่ายมาก ๆ เราไม่ต้องเลื่อนไปเปิดอะไรแต่อย่างไร ถ้าเราหันกล้องไปในที่มืด มันจะเปิด Night Mode ให้เราเอง โดยที่จะมีไอคอนสีเหลือง ๆ บอกเวลาให้เรา เช่น 1s คือ มันจะเปิดหน้ากล้อง 1 วินาที ซึ่งเวลาที่ใช้ มันจะเลือกให้เราเอง โดยดูจากสภาพแสง และ ความนิ่งในการถือของเราด้วย เพราะยิ่งนานยิ่งสว่าง Noise ก็ยิ่งลด

ผลลัพท์ที่ได้ เราตกใจมาก ในภาพตัวอย่างนี้เราเอาใส่ Tripod เพื่อบวกเวลาไปให้สุด และ ลดการสั่นด้วย ทำให้ภาพที่ออกมา ค่อนข้างคมอยู่ รายละเอียดถือว่าดี และ การให้แสง มันทำได้ค่อนข้างนวล ไม่ใช่การที่เพิ่ม Exposure แค่นั้นที่จะทำให้ภาพมันดูแปลก ๆ สีผิดเพี้ยนไป


จะเห็นว่า ใบไม้ที่มันไม่น่าจะเห็นอะไรได้เลย กลับให้รายละเอียดที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

หรืออย่างภาพต้นไม้นี้ ตอนถ่ายออกมา เราก็ตกใจมากว่า เชี้ยยย ที่จริง ๆ เราเอง ยังมองไม่เห็นรายละเอียดของต้นไม้เท่าไหร่เลย อันนี้ถ่ายออกมา ถือว่าทำได้ดีมาก และ จุด ๆ บนฟ้านี่คือ ดาวเหรอ มันติดมาด้วยเหรอเนี่ยยยย

แต่ต้องบอกไว้จุดนึงว่า กล้อง Ultrawide จะไม่มี Night Mode นะ ถ้าเราเข้ากล้อง Ultrawide อยู่ ถึงเราจะเอาไปจ่อในที่มืด มันก็จะไม่มี Night Mode ขึ้นมานะ Deep Fusion ก็เช่นกัน

จากทั้ง Deep Fusion และ Night Mode รวมไปถึง HDR ทำให้ มันมีการประมวลผลอย่างเหมาะสมในทุกช่วงแสง เริ่มจาก สถานการณ์ที่ แสงข้างหน้า และหลังต่างกันมาก HDR ก็จะเข้ามาช่วย ในสภาพแสงปกติ Deep Fusion ก็จะเข้ามาช่วยเพิ่มรายละเอียดของภาพ และให้สีที่เหมือนกับความเป็นจริงมากที่สุด และสุดท้ายในที่แสงน้อย Night Mode ก็จะเข้ามาช่วยทำให้เราถ่ายภาพในที่มืดได้ดีนั่นเอง

ส่วน Portrait Mode ก็ถือว่าทำได้ดีมาก โดยเฉพาะการรวมเข้ากับ A13 Bionic ที่ทำให้การประมวลผลภาพทำได้ดีขึ้น ตัดขอบได้เนียนมากขึ้นมากจนถือว่าดีเลยละ อาจจะมีบ้างแหละ ที่มันตัดมาไม่เนียน แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย เล็ก ๆ น้อย ๆ แก้ได้ด้วยการลดความเบลอ เพื่อให้มันดูกลืนกันได้

นอกจากนั้นในส่วนของ Video เอง จัดว่าเด็ดเลย เพราะทุกกล้อง สามารถถ่าย Video ความละเอียดระดับ 4K ที่ 60 FPS ได้ เอาจริง ๆ กล้อง DSLR ตอนนี้ ที่ไม่ใช่ Cinema Camera ก็ยังถ่ายไม่ได้นะ แถมยังมี OIS กันสั่นให้ด้วย ทำให้วีดีโอที่ถ่ายออกมา มีความคมชัด และ Smooth มาก ได้ลองมา เราว่ามันน่าจะเป็นกล้องสำหรับ Vlog ได้ดีเลย แค่เสียบไมค์แยก คือดีย์งามมาก

ส่วนการถ่าย Slow-mo ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยกล้องหน้าสามารถถ่าย Slow-mo ได้แล้ว Apple เรียกมันว่า Slowfie มันสามารถถ่ายได้ที่ 120 FPS บน 1080p ไปเลย กล้องหลังก็ทำได้เหมือนกัน

แต่สิ่งที่เรา Amazing ในความกล้องของ iPhone 11 ทุกตัวคือ มันดูไร้รอยต่อระหว่างเลนส์มาก คือ ถ้าเราค่อย ๆ ซูมไปถึงจุดนึง จนมันเปลี่ยนเลนส์ แสง สี มันจะไปด้วยกัน จนดูเหมือนเรามีเลนส์เดียว แล้วค่อย ๆ ซูมเข้าไปได้เลย เราว่านั่นคือ ความยากมากในการออกแบบทั้ง Software และ Hardware เพื่อที่จะทำให้มันไร้รอยต่อได้ขนาดนี้ จริง ๆ ที่กล้องมันต้องเรียงแบบนั้น เพราะจะทำให้มันไร้รอยต่อเวลาเราซูมนั่นเอง

Face ID

วิธีการ Authentication หรือ การยืนยันตัวตน ที่อยู่คู่กับ iPhone มาในหลาย ๆ รุ่นที่ผ่านมาก็คือ Face ID หรือ การยืนยันตัวตนด้วยหนังหน้านั่นเอง

เมื่อก่อน เราก็ ไม่ยอมรับว่ามันเป็นวิธีที่ดีอะไร แต่พอได้มาใช้จริงใน iPad Pro 11-inches พบว่า มันเป็นวิธีที่ง่ายมาก ๆ แต่ปัญหาของมันก็คือ มุมมองที่เราใช้เพื่อปลดล๊อค

เวลาเราวางเครื่องอยู่ แล้วต้องการจะดู Notification รุ่นก่อน เราจะต้องยกเครื่องขึ้นมามองเพื่อปลดล๊อค มันถึงจะขึ้น Notification ขึ้นมา เอาจริง ๆ เราว่ามันไม่สะดวกเท่าไหร่ มาในรุ่นนี้ Face ID ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น สามารถปลดล๊อคได้ในมุมที่เยอะขึ้น

จากการใช้งาน ก็พบว่ามันมุมที่ปลดล๊อคได้มันเยอะขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดไม่ต้องยื่นหัวไป ยังไงก็ต้องยื่นหัวไปอยู่ดี แต่โดยรวม การใช้งานเคสทั่ว ๆ ไป ปลดล๊อคได้เร็วมาก มันจะมีแค่บางเคสจริง ๆ ที่ยอมรับว่ายาก เลยมันก็นะ แต่เราก็ยังชอบใช้ Fingerprint อยู่ดี ฮ่า ๆ

Apple U1 Chip

ของอีกอย่างที่มาใน iPhone 11 ทั้งหลาย นั่นคือ Apple U1 Chip ที่ใช้เทคโนโลยี Ultra Wide Band (UWB) สำหรับบอกตำแหน่งของอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมันถูกเอามาใช้กับตรงเวลาเรา Airdrop โดยถ้าเราหันไปหาอุปกรณ์ไหน ตัว iPhone จะให้ความสำคัญกับอุปกรณ์นั้นก่อน หรือการใช้งานอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ เช่น Indoor Navigation แบบโคตรแม่นยำ เท่าที่ลองตรงการใช้งาน Airdrop เราว่ามันหาอุปกรณ์เร็วขึ้นจริง ๆ เมื่อก่อน กว่ามันจะหาเจอต้องสักวินาทีนึง แต่อันนี้คือ กดปุ๊บขึ้นปั๊บเลย

iPhone 11 Pro Max อีกก้าวของ Apple ในราคาที่ถูกลง

เราบอกเลยว่า iPhone 11 Pro Max เป็นรุ่นที่ Apple ฟังเสียงลูกค้าตัวเองมากขึ้น มาพร้อมกับ Feature หลายอย่างที่ใครหลายคนก็กำลังรออยู่ สิ่งที่ Apple บอกว่าจะปรับปรุง อย่างเรื่องของ Battery ที่ทำให้เราไม่กลัวเลยที่จะไม่พกสายชาร์จเลย หน้าจอเองที่ Apple เรียกว่า Super Retina XDR OLED ที่บอกเลยว่า หน้าจอสวย สู้แสงได้อย่างดี นอกจากนั้น กล้องก็ ก็เหมือนเป็นการก้าวกระโดดมาก จากการที่มีกล้อง Ultrawide ขึ้นมา ทำให้เราสามารถเก็บภาพที่มีมุมมองที่แตกต่างออกไปจากกล้องโทรศัพท์ทั่ว ๆ ไป แต่เรื่องที่ Surprise มาก คือ ในที่สุด Apple ก็ยอมแถม Adapter Fast Charge ให้หลังจากที่ไม่ยอมแถมสักทีฮ่า ๆ ส่วนเรื่องชื่อ Pro เราเองก็ยังมองว่า มันยังไม่ได้ Pro อะไรขนาดนั้นเลย เพียงแค่มันดีกว่ารุ่น Base แค่นั้นเลย แต่มาพร้อมกับราคาค่าตัวที่สูงเอาเรื่องเลย ในราคา 39,900 บาท แนะนำว่า ถ้าไม่ได้แคร์เรื่องหน้าจอ และ ขนาด จริงๆ เราว่าไปซื้อ iPhone 11 เฉย ๆ น่าจะดีกว่า แต่ถ้าอยากได้ความสุด และ ต้องการหน้าจอใหญ่ ๆ ต้องมาใช้นี่เลย iPhone 11 Pro Max

เดี๋ยวอีกสักอาทิตย์เรามารีวิวอีกทีละกัน ว่าการใช้งานของเรามันจะเป็นยังไง โดยเฉพาะเราเองที่เปลี่ยนจาก Android มาเป็น iOS ด้วย มันจะหรรษาขนาดไหน รอติดตามอ่านได้เลย สวัสดี ~