รีวิว InCharge XL สายใหม่ยาวกว่าเดิม ในคราบเก่า

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ InCharge ออกสายใหม่อีกแล้ว คนถามเยอะแหละว่า เราจะซื้อสายอะไรมาเยอะแยะ แต่เราบอกว่า ไม่ว่า InCharge จะออกรุ่นไหนมา เรากดหมด และแน่นอนจากชื่อบทความ มันออกมาใหม่อีกแล้วฮ่ะ กับ InChargeXL

แกะกล่อง InCharge XL

มาเริ่มที่ตัวสั้นกันก่อนเลยละกัน รอบนี้เขาทำมาให้ยาวขึ้นหน่อย เพื่อที่จะเสียบแล้วใช้งานได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนเราก็เอาไว้เสียบกับ Powerbank เข้ากับโทรศัพท์เท่านั้นมันจะยาวพอดี แต่ถ้าเราเอามาเสียบอย่างอื่นมันยากอยู่ รอบนี้เลยยาวแหละ ซึ่งตัวกล่องเองก็ยาวมาเลย เพื่อบอกความเป็น XL ชัด ๆ แต่กล่องอะไรพวกนั้นก็ยังเป็นเหมือนเดิมเลย เป็นกล่องแบบรักษ์โลก พร้อมกับพิมพ์บอกเลยว่า เป็น InChargeXL เอาจริง ๆ ถ้าเอากล่องรุ่นก่อนมาวางเทียบ ต้องอ่านดี ๆ เลยนะ ไม่งั้นไม่รู้ว่ารุ่นไหน

ด้านบนกล่อง เขาเขียนเลยว่า สายตัวนี้จะยาวทั้งหมด 30cm หรือ 1ft ด้วยกัน ถือว่ายาวกว่ารุ่นก่อนเยอะพอสมควรเลย

อีกด้านนึง ก็จะพิมพ์ยี่ห้อคือ RollingSquare เอาไว้

อีกด้านก็จะเป็นพวก QR Code บอกว่ามีอะไรใหม่ในรุ่นนี้บ้าง และพวก Barcode ทั้งหลาย อันนี้ก็เป็นปกติของกล่องแล้วละ ไม่ได้มีอะไรใหม่ขึ้นมาเท่าไหร่

เปิดกล่องออกมาก็ไม่มีอะไรเลย ตามสไตล์ของ InCharge เลย คือ มีแค่สายเท่านั้นเลย หมดแล้ว

มาที่ของใหญ่กันบ้าง ตัวกล่องก็จะคล้าย ๆ กันเลย เราไม่ลงรายละเอียดละกัน แต่ขอลงรายละเอียดข้างในหน่อย เพราะอันนี้ไม่เหมือนเพื่อน ๆ มันที่ผ่านมาละ เราจะเห็นว่ามันจะมีกล่องดำ ๆ อยู่ เป็นเคสใส่ ซึ่งอันนี้คือ เห้ยยยย ดีนะ แก้ปัญหาเราได้เลยนะ

ตัวกล่อง ไม่ได้เป็นกล่องแข็งอะไร เป็นยางเลย คือยวบ ๆ ได้เลย ใส่กระเป๋าได้ง่าย แต่ติดเรื่องเดียวคือ มันกินฝุ่นหนักมากแน่นอน ขนาดพึ่งแกะออกจากกล่องคือ ฝุ่นกระดาษกล่องติดเต็มเลย หนักกว่านั้นอีกคือ ที่ตัวเคสเอง เขาก็มีการทำร่อง ทำลายมาให้อีก เขียนว่า RollingSquare ถามว่าสวยมั้ย สวย แต่ไม่ Functional เท่าไหร่นะ

ตัวฝา มันก็ไม่ได้มี Mechanic ในการเปิดปิดอะไรที่หรูหราอะไร คือ ถ้าเราต้องการจะเอาออกมา เราก็บีบปากมันหน่อย แล้วดึงออกมาได้เลย ก็เรียกว่า ง่าย ๆ ใช้งานสะดวก ไม่ต้องมีพวกวัสดุอะไรแข็ง ๆ ทั้งนั้น ใช้งานได้ง่าย ไม่ต้องกลัวพังหรืออะไรทั้งนั้น

เมื่อเอาออกมา เราจะพบกับตัวสาย ที่มีที่รัดอยู่เป็นอย่างดีเลย จับ ๆ เบื้องต้นแล้วไม่ต่างจากสายรุ่นก่อนหน้า และรุ่นก่อนหน้า ๆ เลย เหมือนกัน ๆ

ของอีกอย่างที่เขาแถมมาให้กับตัวใหญ่คือที่วางสายอันนี้เราชอบมาก เพราะก่อนหน้านี้เวลาเราจะทิ้งสายไว้สำหรับเสียบชาร์จอุปกรณ์ต่าง ๆ เราก็ต้องวางไว้บนโต๊ะเลย ทำให้มันดูไม่เรียบร้อย แต่อันน้ีคือ เราสามารถเอาที่เขาแถมมาติดกับโต๊ะได้ เขามีกาวมาให้เราแล้ว

พอเราใช้งานสายเสร็จ เราก็จะเอาหัวมาแปะไว้ จะเห็นว่าด้านซ้ายมันมีแม่เหล็กอยู่ มันก็จะติดกับหัวได้เลย จะใช้ก็ดึงออกมาง่าย ๆ เลย เราลองกับสายรุ่นอื่น ๆ ของ RollingSquare อย่าง InCharge X ก็ใช้งานได้เหมือนกันนะ เพราะมันก็คือแม่เหล็กเหมือนกันแหละ

ของที่มาในกล่องของทั้ง 2 รุ่นก็มีเท่านี้เลย ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย ฮ่า ๆ แห้ง ๆ อยู่เหมือนเดิมตามสไตล์ของ RollingSquare ถามว่ามันแห้งขนาดนั้นเลยมั้ย เราว่าก็ไม่ได้ขนาดนั้น เพราะปกติ เวลาเราไปซื้อสายปกติเลย มันแห้งกว่านี้เยอะ ไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากสาย

InCharge XL

เราขอเริ่มจากเส้นสั้นก่อน ตัวนี้เป็นสีใหม่เลย สีเหลือง ถ้าเป็นคนที่เล่นสายยี่ห้อนี้อยู่แล้วเห็นก็จะรู้ทันทีแหละว่า รุ่น XL แน่นอน ฮา ๆ จะเห็นว่าความยาวมันยาวมาก ๆ พับแล้ว เราก็ตีว่าครึ่ง ๆ ก็ 15cm แล้วนะ มันเลยไม่สามารถเอามาพับใส่พวงกุญแจได้ละ น่าจะยาวไปหน่อย เราว่าเสียบเข้ากับช่องใส่ปากกาในกระเป๋าพอได้เลย

รุ่นก่อน ๆ เรามีปัญหากับฝาปิดมาก ๆ เพราะมันเป็นฝาปิดหัวโง่ ๆ เลย แล้วเวลาเราใช้ มันก็ต้องดึงออกมา แล้วจะเอาไปไว้ไหนละ สุดท้ายเป็นไง หายไง รอไรอะ เปงเศร้าเลยนะ รอบนี้พัฒนามาเพิ่มแล้วมีการเพิ่มให้มันมาคล้องกับสายด้วย ทำให้เวลาเราดึงแล้วมันก็อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ได้ไปไหน แค่เราบอกว่า บางครั้ง มันจะมีปัญหาเวลาเราเสียบเล็กน้อยแหละ

ตัวหัวเสียบทั้งสองด้าน ก็เหมือนเดิมกับรุ่นก่อนหน้าเลย แค่เราไม่ชอบตรงที่เขามาทำเป็นโลหะเงา จากประสบการณ์การใช้งานในรุ่นที่ทำมาเป็นโลหะเงาคือ รอยขนแมว เพียบเลย ใช้ไปนาน ๆ แล้วไม่สวยเท่าไหร่ ยิ่งถ้าเราไม่ระวังคือรอยเพียบ

ตัวหัว USB-A ก็ยังทำมาเป็นสีเขียวสะท้อนแสงเหมือนรุ่นก่อนเลย เผลอ ๆ เราว่าน่าจะ Part เดียวกันเลยละ คือ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่ทำเป็นสีเหลืองซะเลยละ ไหน ๆ ก็ทำสายตัดเหลืองไปแล้ว

โดย 2 ด้านของสายจะไม่เหมือนกันนะ ด้านนึงจะเป็นหัว USB-A สำหรับการเสียบเข้ากับหัวชาร์จและ อีกด้านที่เห็นเป็น Lighting จะเป็นด้านเสียบเข้ากับอุปกรณ์ของเรา ไม่สามารถเสียบกลับด้านกันได้นะ

สำหรับคนที่อาจจะยังไม่เคยใช้งานสายพวกนี้มาก่อน พวกนี้มันเป็นสายแบบ Multifunction สุด ๆ คือ เราสามารถเปลี่ยนหัวเพื่อให้เข้ากับการใช้งานเรา เรียกว่าสายเส้นเดียวเสียบอะไรก็ได้หมดเลย อย่างในด้านที่เราเสียบเข้ากับหัวชาร์จเริ่มต้นมา มันจะเป็นหัว USB-A ที่เราใช้งานปกติ

แต่เราสามารถดึงออกมา เพื่อเปลี่ยนเป็น USB-C ได้เลย อยากจะ Fast Charge เราก็สามารถใช้ USB-C ตรงนี้ได้เลย โดยตามสเปกของ InCharge XL เขาจะจ่ายไฟได้สูงสุดที่ 100W ไปเลย หนักหน่วง อร่อย ชาร์จ Macbook Pro 14-inch ได้เลย

ส่วนอีกด้านเริ่มต้นเขาจะมาเป็นหัว Lighting สำหรับเสียบกับพวก Apple Device ทั้งหลายเช่น iPhone และ iPad บางรุ่น รวมไปถึงพวก AirPods และ เมาส์ Keyboard ของ Apple ทั้งหมดเลย แต่ ๆ หัวเดียวกันนี่แหละ สามารถเป็นหัว Micro USB ได้ด้วยเลย

เหมือนเดิม ดึงออกมา มันก็จะเป็น USB-C ปกตินี่แหละ เหมือนกับอีกด้านเลย เอาจริง ๆ สำหรับเราเอง เราแอบรู้สึกลำบากอยู่นะ เพราะว่า เราใช้งาน USB-C ซะเยอะ ต้องมานั่งถอดมันทุกครั้งที่จะใช้งาน แต่มุมนึง เราก็เข้าใจในความ Technical Difficulty ของเขาเหมือนกันว่า มันทำไม่ได้

จากการที่มันเปลี่ยนหัว สลับไปมาได้แบบนี้ ทำให้ในสายเส้นเดียว เราเหมือนพกสายอยู่ทั้งหมด 4 Combination ไปเลย ซึ่งเราจะบอกว่า มันครอบคลุมการทำงานส่วนใหญ่ อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่เราใช้งานกันแล้ว ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในสายเส้นเดียว เราเลยคิดว่า เป็นอะไรที่ทำให้เราพกของน้อยลงได้ดีมาก ๆ

ส่วนในตัวสายยาว ก็จะเหมือนกับตัวสั้นทุกประการเลย แค่ความยาวมันขยายเข้าไปอีก ที่  3m หรือ 300cm กันไปเลย เรียกว่ายาวพอสำหรับทุกอย่างแน่นอน จนคิดว่า มันยาวไปมั้ยเนี่ยห่ะ !

จ่ายไฟ 100W ได้แล้ว !!!

เกิดเป็นสายชาร์จ การจ่ายไฟต้องดี แน่นอนว่าในรุ่นนี้ก็มีการพัฒนาจากรุ่นก่อนแล้ว โดยมันสามารถจ่ายไฟได้สูงสุดที่ 100W บนหัว USB-C ถึง USB-C ทำให้เราสามารถชาร์จอุปกรณ์ได้กว้างขึ้นมาก ๆ โดยเฉพาะเราเอง เราใช้เสียบ Macbook Pro 14-inch เรารับไฟได้ 100W ตามสเปกของมันเลย

อ่านมา คนอาจจะเถียงว่าแบต Macbook Pro 14-inch รับได้ไม่ถึงนิ ใช่ แต่อย่าลืมว่า เราใช้งานไปด้วยนะ ไฟต้องเข้าแบต และ เราเอามาจ่ายจอ กับ SoC ด้วยเด้อ มันเลยกินได้สุดของสายไปเลย

เราไปแฮปปลั๊กวัดไฟสำหรับเครื่องพ่น Aroma มาของ Sonoff นี่แหละ อันนี้เราเอา Macbook Pro 14-inch เสียบผ่าน InCharge XL 3m เข้า Omega 200W บนหัว USB-C 1 ที่จ่ายไฟสูงสุดที่ 100W เลขที่เราวัดไฟได้ออกมาก็คือ 102.21W เรียกว่า ดูดได้เต็ม Port ชาร์จ และ สาย InChargeXL เลย

Data Transfer

สำหรับการส่งข้อมูลสายตัวนี้ก็สามารถส่งได้เหมือนกัน รุ่นก่อน ๆ ก็ทำได้ แต่เราว่าเขาไม่น่าเน้นมั้งเลย ทำให้มันสามารถโยนข้อมูลสูงสุดที่ 480 Mbps เท่านั้น หรือ เท่ากับ USB 2.0 เท่านั้น ก็เลย ทำให้เซ็ง ๆ เล็กน้อย แต่ถามว่าเรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นมั้ย ก็ไม่นะ เพราะส่วนใหญ่ เราก็ใช้งานสายแยกของที่มันมากับพวกอุปกรณ์อยู่แล้ว ดังนั้นใครหวังว่าจะเอามาเสียบพวก Storage เร็ว ๆ อย่าง External SSD ก็ร้องไห้ไปนะ

สรุป

สำหรับ InCharge XL ก็ถือว่าเป็นการ Minor Charge ที่น่าสนใจจากรุ่นก่อนอย่าง InCharge X ได้ดีมาก ๆ ทั้งสายที่ยาวขึ้น ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากขึ้นมาก ๆ รวมไปถึงการแถมเคสใส่ในเส้นยาว 3m มาให้ด้วย ทำให้การพกพาทำได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการจ่ายไฟก็ทำได้ดีขึ้นมาก ๆ คือจ่ายไฟที่ 100W ซึ่งเป็น Limit ของ USB-C Power Delivery แล้วละ ก็เรียกว่า ชาร์จอะไรก็ได้ที่เสียบ USB-C แล้วละ ใครที่มองหาสายชาร์จเส้นเดียว​ซ่าทุก Device ตัวนี้แหละ เหมาะมาก ๆ