รีวิว Samsung Galaxy Note 9 โทรศัพท์ที่เกือบจะดีแล้ว

สวัสดีพวกนาย ~ เรามีปัญหากับ Google Pixel 2 XL ที่เคยรีวิวไป คือจู่ ๆ มันก็ดับไปแล้วเปิดไม่ติดอีกเลย ไม่อยากซ่อมแล้ว เลยซื้อเครื่องใหม่เลยดีกว่า สุดท้ายด้วยเหตุผลทั้งปวงก็เลยเลือก Samsung Galaxy Note 9

Specification

เรามาเริ่มต้นที่สเปกของเครื่องกันก่อน โดย Samsung Galaxy Note 9 มาพร้อมกับ CPU ที่เป็นเหมือนหัวสมองของโทรศัพท์เลยก็ว่าได้ มาพร้อมกับ CPU เรือธงจากทางค่าย Samsung เองเลยนั่นคือ Exynos 9810 Octa Core ที่ 2.7 GHz (สำหรับเครื่องฝั่ง US และจีนจะมาพร้อมกับ CPU Snapdragon 845 และ GPU จะเป็น Adreno 630 แทน) แม่เจ้า !! Clock Speed มันจะเหยียบ 3 GHz อยู่แล้ว และยังมาพร้อมกับ GPU Mali-G72 MP18 อันนี้ก็เป็นตัวท๊อปสุดของตระกลู Mali แล้วเช่นกัน ถ้าใครชอบเล่นเกมตัวนี้ก็ตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดีเลยละ

ตัวเครื่องมาให้เราเลือก 2 ขนาดคือ หน่วยความจำภายใน 128 GB มาพร้อมกับ RAM ขนาด 6 GB และ หน่วยความจำภายใน 512 GB กับ RAM ขนาด 8 GB ด้วยกัน โดยเครื่องที่เราซื้อมาใช้จะเป็นขนาด 128 GB กับ RAM ขนาด 6 GB เท่านั้น

ตัวเครื่อง

โมเม้นต์แรกที่เห็น รู้สึกว่ามันแทบไม่ต่างจาก Note 8 ตรงไหนเลย มองผ่าน ๆ นี่คือไม่รู้เลยว่าอันไหนคืออันไหน โดย Note 9 มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED ขนาด 6.4 นิ้ว ความละเอียดขนาด QuadHD+ (2960 x 1440 pixel) รองรับ HDR10 ด้วยนะ เดี๋ยวไว้ว่าใน Section ของ Display ส่วนถามว่าใหญ่แค่ไหน ก็ต้องบอกเลยว่า 10 เมตร วุ้ย ตัวเครื่องมันก็ไม่ใหญ่ขนาดนั้น เน้นยาว ซอยดีกว่า อ่อ Note 9 ไม่มีติ่งนะ ถ้าใครไม่ชอบติ่ง รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นทางเลือกทางนึงเลย ด้านบนของตัวเครื่องไล่จากด้านซ้ายไปจะเป็น IR สำหรับสแกนหน้า, Sensor ต่าง ๆ, ลำโพงสนทนา (ที่จะใช้ร่วมกับลำโพงข้างล่าง เพื่อให้เป็นลำโพง Stereo) และกล้องหน้าความละเอียด 8MP F.1.7 พร้อมกับ Auto Focus

ย้ายไปดูทางด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมาพร้อมกับ ปุ่มเพิ่ม/ลดเสียง ถัดลงมาก็จะเป็น Bixby Button ไว้สำหรับเรียก Bixby ที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวสุดเจ๋งจาก Samsung ที่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ใช้ เพราะเราไม่ชอบมัน !!!

ด้านขวาก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากปุ่มเปิด/ปิดเครื่องเท่านั้น สำหรับด้านบนก็จะเป็นช่องใส่ SIM Card โดยจะให้มา 2 ช่อง ช่องที่ 2 เราก็สามารถเลือกเป็น SIM ที่ 2 หรือ SD Card ที่ได้สูงสุด 512 GB ก็ได้เหมือนกัน รองรับการ Standby พร้อมกันทั้ง 2 SIM และรู Microphone ตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน ที่โหดกว่านั้นเมื่อเราซื้อตัวความจุ 512 GB แล้วรวมกับ Memory Card ขนาด 512 GB แล้ว หน่วยความจำมันก็จะถึงระดับ 1 TB กันเลยทีเดียว ถ้าใครชอบอะไรใหญ่ ๆ ก็เอาเลยฮ่ะ นี่ซื้อ 128 GB ก็ใช้จนอ้วกแล้วก็ยังไม่หมด

ข้อสังเกตเล็ก ๆ ที่เราค่อนข้างชอบ Sim Tray ของโทรศัพท์รุ่นนี้คือ เวลาเราใส่ Sim และ Memory Card ไปแล้ว มันจะเหมือนมีช่องให้เราดันดัง เกร็ก ได้เลย พอเวลาเราหยิบถาดทั้งอันไปใส่เครื่อง เราก็ไม่ต้องกลัวมันหล่นหาย ต่างจากเครื่องอื่น ๆ ที่มันจะเหมือนกับแค่วางไว้ ไม่มีอะไรยึดไว้ ตอนที่เราจะหยิบถาดเข้าออก ทั้ง Sim และ Memory Card ก็จะหลุดหายหมด ต้องมานั่งหา นั่งเก็บกันหลายดอกละ

มาที่ด้านล่างกันบ้าง ไล่จากซ้ายไปขวา ก็จะเริ่มจาก รู 3.5 mm สำหรับเสียบหูฟัง ที่โทรศัพท์เรือธงแทบทุกรุ่นในปีนี้เอาออกหมดแล้ว (เป็นหนึ่งใน Feature เลย ที่ทำให้เราเลือกซื้อโทรศัพท์รุ่นนี้มาใช้), ช่องเสียบแบบ USB-C ที่รองรับ Fast Charge จาก Samsung เอง (ที่มี Adapter Fast Charge มาให้ในกล่อง หรือจะใช้ Adapter ที่เป็น Quick Charge ก็ได้นะ เราลองแล้ว), รู Microphone หลัก และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือช่องสำหรับใส่ S-Pen เป็น Note ก็ขาดเจ้าปากกานี่ไม่ได้แน่นอน

และสุดท้ายคือด้านหลังเป็นกระจก ที่มาพร้อมกับกล้อง 2 ตัว, ไฟ Flash แบบ LED, Heart Rate Sensor และ Fingerprint Sensor อยู่ด้านล่าง หลังจากที่ถูกด่ากันไปในปีที่แล้วปีนี้ก็เลยย้ายลงมาข้างล่างซะเลย ที่สำคัญยังรองรับ Wireless Charing แบบเร็วด้วยนะ จุดที่ต้องพึงระวังจากข้างหลังคือ รอยนิ้วมือที่เป็นง่ายมาก ๆ กับเวลาทำตกนี่ กระจก มันไม่ถูกกับการตกจากที่สูงเท่าไหร่ ก็แนะนำให้หาเคสใส่จะดีมาก

สัมผัสโดยรวมหลังจากที่ได้ลองใช้งานมา พบว่าขนาดเรื่องของความกว้าง มือเราจับได้ค่อนข้างถนัดมือเลย และด้วยด้านยาวของมันที่ไม่รู้เหมือนกัน รู้สึกว่ามันยาวกว่าเครื่องอื่น ๆ ที่เคยใช้มา ทำให้เวลาเราเล่นเกม เรารู้สึกว่า จับและกดง่ายมาก ๆ แต่พอกลับมาแนวตั้งด้านยาวเหมือนจะทำให้เซ็ง ๆ ซะหน่อย เพราะมันยาวไป แต่ก็เข้าใจได้แหละว่า โทรศัพท์ขนาดนี้ไม่น่าจะออกแบบมาให้ใช้ด้วยมือเดียวได้ทั้งหมดหรอก

Fingerprint Sensor ที่เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ ทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นเยอะ แต่ถามว่า มันจะมีพลาดไปโดนเลนส์กล้องอีกมั้ย ? บอกเลยว่า ไม่รอด ! ตั้งแต่ใช้มาก็มีไปโดนหลายครั้งมาก ๆ แต่พอใช้ไปเรื่อยๆ ชินแล้วมันก็น้อยลง (ตอนนี้ใช้ไป 2 อาทิตย์บอกเลยว่า ก็ยังมีโดนอยู่เวลาที่รีบมาก ๆ) ที่จริงต้องขอบคุณที่ใส่เคส เวลาเราคลำ ๆ เราจะเลื่อนนิ้วผ่านเคสไปแล้วมันจะเจอเหมือนรู เราก็เอานิ้วแหย่เข้าไปได้เลย แต่ถ้าเราไม่มีเคส มันจะทำให้ชินลำบากหน่อย เพราะตัวสแกนมันไม่ได้นูนออกมากจากเครื่องสักเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังมี Function เหมือน Google Pixel ด้วยนะ ที่เราเอานิ้วไปรูดลง มันก็จะเรียก Notification มาให้ ก็ดีรู้สึกไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แต่ !! ฟิลลิ่งมันต่างโดยสิ้นเชิงเลย เพราะขนาด Fingerprint Sensor ของ Google Pixel 2 มันกลม ด้าน และยังใหญ่กว่า Note 9 ทำให้ ใน Note 9 มันเลยจะรูดยากนิดนึง เพราะมันทั้งมันและเล็ก นอกจากนั้นปุ่มเรียก Bixby ก็เป็นเหมือนก้อนเนื้อไร้ประโยชน์ ไม่สิ เนื้อร้าย บนเครื่องเลยก็ว่าได้ เพราะส่วนตัวเราไม่ชอบใช้ Bixby แต่ชอบ Google Assistant มากกว่า ซึ่ง Software ไม่มีตัวเลือกให้เรา Remap มันกลับมาเป็น Google Assistant ได้เลย แล้วที่แย่ว์คือ เวลาเราดูวีดีโอแล้วเอาโทรศัพท์วาง พอจะลุก เราก็จะหยิบโทรศัพท์ มือก็เผลอไปโดน Bixby ทุกที วีดีโอมันก็จะหยุด แล้วต้องเอานิ้วเอื้อมไปกดปิด Bixby และกด Play ใหม่ อันนี้โมโหหลายครั้งละ

อันความใหญ่ของเครื่องได้ขนาดนี้ย่อมมีผลตามมาแน่นอน เวลาเราใช้มือเดียวพิมพ์มันยากมาก ๆ ถึงแม้แต่เราจะใช้การลากเพื่อพิมพ์แล้วก็ตาม แต่มันกว้างเกินไป พอเราเอื้อมนิ้วโป้งที่สั้นอยู่แล้วไป มันก็ทำให้การถือโทรศัพท์ของเรามันไม่มั่นคง และอาจทำให้หล่นได้ เพราะฉะนั้น เราก็เลยจะหลียกเลี่ยงการใช้งานมือเดียวไปเลย กลัวหล่นแล้วพังมาก

Display

Samsung Galaxy Note 9 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.4 นิ้วแบบ SuperAMOLED ความละเอียดขนาด QuardHD+ (2960 x 1440 pixel) ที่ได้รับการยกย่องจากหลาย ๆ สำนักว่า เป็นหน้าจอมือถือที่ดีที่สุด เราลองเอามาเล่นเกม ดูหนัง มาแล้วพบว่า แสงสีจัดว่าเด็ดสะใจมาก

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราเลือกเจ้าเครื่องนี้มาเพราะว่า หน้าจอของมันรองรับ HDR10 ด้วย โดยเราสามารถดูวีดีโอใน Youtube ความละเอียดสูงสุด 1440p 60FPS HDR กันเลยทีเดียว นอกจากนั้น Netflix ยังอัพเดทให้รองรับ HDR10 อีกด้วย ทำให้เจ้าเครื่องนี้กลายเป็นที่สุดแห่งความบันเทิงที่แท้จริง

เพื่อเพิ่มความดุของแสงสีแล้ว ในเครื่องก็ยังมี Video Enhancer มาให้เราเลือกด้วยว่า App ไหนบ้างที่จะเปิดเจ้าโหมดแสงสีดุบ้าง นอกจากนั้น อันนี้เรารู้สึกว่าเป็น Feature ที่เห็นทีไรก็นึกถึง Samsung นี่คือ การที่เราสามารถเลือกความละเอียดของหน้าจอได้ตั้งแต่ HD+(720p), FHD+(1080p) และ WQHD+(1440p)

ถ้าใครได้เปิดเครื่องที่พึ่งซื้อมาแล้วเข้ามาเลือกความละเอียดหน้าจอเป็นครั้งแรก มันจะถูกตั้งไว้ที่ 1080p เท่านั้น ถ้าเราอยากได้ 1440p ตามสเปกที่เราอ่านมา เราก็สามารถเลื่อนไปที่ 1440p แล้วก็กดเปลี่ยนได้เลย (ถามว่า ถ้าเปลี่ยนไปใช้ 1440p แล้ว Battery เป็นยังไง ก็บอกเลยว่า ไม่รู้ เพราะไม่ได้สังเกตจริง ๆ ปรับ 1440p คาไว้ตลอดเลย)

ข้อสังเกต เวลาเรากด Done มันจะหน่วง ๆ ไปหน่อย เหมือนกดไม่ติด แล้วมันจะแว่บกลับมาหน้าเดิมเลย จุดที่พีคคือ เวลาเราปรับไปแล้ว Facebook มันไม่ยอมเปลี่ยนด้วยเลย จะเห็นจากรูปว่า ถ้าเราเพิ่มความละเอียดกลับมา Facebook ก็จะเล็กลง กลับกัน ถ้าเราปรับความละเอียดน้อยลง Facebook ก็จะใหญ่ขึ้น วิธีแก้ปัญหานี้คือ สั่งปิด Facebook ใน Multitasking แล้วเปิดใหม่ก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่แน่ใจนะว่า App อื่น ๆ มันจะมีอาการยังไง คุ้น ๆ ว่าตอนใช้จำไม่ได้แล้ว มันมีอันนึงที่พอเราเปลี่ยนความละเอียดออกมาแล้ว กด Multitaksing เพื่อกลับไปที่ App นั้น พอกดเข้า App ปุ๊บมันก็เด้งออกเลย แล้วพอเราเข้า App อีกครั้งมันก็ใช้ได้เหมือนเดิม ก็แนะนำว่า ก็เซฟอะไรที่ต้องเก็บ และปิด App ให้หมดก่อนที่จะเปลี่ยนความละเอียด เราก็ไม่ชอบหน้าต่าง Crash สักเท่าไหร่ กันไว้ก่อนดีกว่า

เวลาที่เราใช้งานเลื่อน ๆ ไปถ้าเรามองจากข้าง ๆ เข้าไป เราจะเห็นเหมือนของในจอมันโค้ง ๆ แปลก ๆ ดี หรือคนที่ใช้จอโค้งอยู่แล้วชินแล้ว เรารู้สึกแปลกตามาก ๆ และเพราะจอมันโค้ง ๆ นี่แหละเวลาเราจะติด Screen Protector มันเลยเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะจอมันโค้งอย่างกระจกก็ต้องใช้แบบที่มันโค้งได้ ต่างจากจอธรรมดาที่ใช้อะไรก็ได้

Sound

สำหรับเรื่องของเสียง เรียกได้ว่า เป็น Flagship Smartphone ของปี 2018 ที่ยังคงรูเสียบหูฟังขนาด 3.5 mm ไว้ให้เราเสียบ ในขณะ Sony Xperia XZ3 ที่เป็น Brand ที่เราคิดว่า น่าจะยังคงรูเสียบหูฟัง เพราะอยากขายความเป็น Hi-Res Audio ก็ยังเอาออกไป

เสียงที่ได้จากหูฟังจัดว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก ๆ เสียงที่ได้จากหูฟัง Sony XBA-N1AP ที่ได้เคยรีวิวไปก่อนหน้านี้ พอเอามาเสียบกับเจ้า Note 9 แล้วให้รายละเอียดเสียงได้ แทบไม่ต่างกับ Xperia X Compact สักเท่าไหร่เลย จัดว่าเป็นการให้รายละเอียดเสียงได้ดี ช่วงเสียงต่ำก็ทำได้ไม่แย่เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น พอ ๆ กับช่วงเสียงสูงมาก ๆ ก็ไม่ได้ทำได้ดีขนาดนั้น ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปมาใช้ก็ไม่น่าจะรู้สึกว่ามันแย่เลย แต่ถ้าเป็นคนที่ฟังพวกเครื่องเสียงดี ๆ มาก็อาจจะยังไม่ได้ดีขนาดนั้น

วิธีแก้ปัญหาของเราง่าย ๆ คือการใช้ DAC ซึ่งเราก็มี External DAC อยู่แล้วก็เลยหยิบมาใช้ วิธีใช้ก็ไม่ยากเลย เพียงแค่เราเอา DAC มาต่อสายเข้ากับโทรศัพท์ และต่อหูฟังที่เราใช้อยู่เข้ากับ DAC ก็เป็นอันเรียบร้อย ก็ถามว่าส่วนใหญ่เราต่อ DAC มั้ยก็ตอบเลยว่า ไม่บ่อย เวลาเดินทางเราก็เอาหูฟังเสียบโทรศัพท์โดยตรงเลย เพราะเสียงมันก็ไม่ได้แย่กว่าเครื่องเก่าเท่าไหร่ แต่เวลาอยู่เฉย ๆ นั่งฟังเพลงไปทำงานไป เราก็จะเสียบใช้ DAC เพื่อให้ได้เสียงที่คุณภาพสูงขึ้นนั่นเอง

นอกจากนั้นเจ้า Note 9 ยังมาพร้อมกับระบบเสียง Dolby Atmos ที่เขาว่า ทำให้เราได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นจากเสียงที่กระหึ่มรอบทิศทาง (รวมไปถึงบนหัวด้วย) โดยเราสามารถเข้าไปเปิดการใช้งานได้ใน Settings และยังสามารถปรับโหมดเพื่อรับประสบการณ์ที่ดีขึ้นได้อีก 3 โหมดคือ ภาพยนตร์,เพลง และเสียง หรือจะเลือกเป็นอัตโนมัติก็ไม่ว่ากัน

ถามว่า เปิดแล้วมันรู้สึกอะไรบ้าง ต้องบอกก่อนนะว่า เราเป็นคนที่ใช้หูฟัง ฟังเพลงซะเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ได้จำเป็นต้องใช้ความกระหึ่มรอบทิศทางขนาดนั้น เลยไม่ได้รู้สึกอะไรจากการเปิด Dolby Atmos สักเท่าไหร่ นอกจากนั้น Dolby Atmos จะสามารถใช้งานผ่าน ลำโพงและเสียบหูฟังเท่านั้น ถ้าเสียบผ่าน DAC ก็ไม่ได้นาจา

สำหรับลำโพง ก็อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า Note 9 มาพร้อมกับลำโพงคู่ที่ผ่านการจูนจาก Brand เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง AKG ที่ให้เสียงที่ค่อนข้างดีพอสมควรเลย ให้เสียงที่ใส และมีมิติมาก ถ้าเปิด Dolby Atmos ไปด้วยและดู Content แนวนอน ยิ่งให้เสียงที่รู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ เลย ตอนซื้อมาใหม่ ๆ เอาไปดู Netlfix คือตกใจ นึกว่ามีคนเข้ามาข้างหลังจริง ๆ 👻

หรือถ้าใครรู้สึกว่า การใช้หูฟังที่มีสายเป็นเรื่องน่ารำคาญแล้วละก็ เรายังสามารถใช้หูฟัง Bluetooth ก็ยังได้ ในที่นี้เราก็เลือกใช้เป็น Apple Airpod ก็ยังทำงานได้ดีใน Note 9 เหมือนเดิม แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า คุณภาพเสียงไม่มีทางเทียบเท่ากับการใช้หูฟังแบบมีสายได้แน่นอน ซึ่งมันก็แลกมากับความสะดวกสบายในการใช้งานมาก ๆ เช่นเวลาเราต้องเดินทาง ขึ้นรถอะไรแบบนี้ การมีสายหูฟัง ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและความยุ่งยากได้ การใช้หูฟังไร้สายก็เป็นอีกทางเลือกนึงเช่นกัน

Performance


อันนี้ไฟล์จริงที่นั่งพิมพ์บนเครื่องนี้ช่วงรับปริญญาเลย

Samsung Galaxy Note 9 ถือว่าเป็นมือถือเรือธงของปีนี้จาก Samsung ย่อมมาพร้อมกับสเปกที่ดีที่สุดของปีนี้แล้ว นั่นคือ CPU Exynos 9810 ตัวเดียวกับ S9 และ S9+ เลย พร้อมกับแรมขนาด 6GB/8GB ขึ้นกับขนาดที่เราซื้อ ทำให้ไม่ต้องรีวิวแล้วว่าประสิทธิภาพมันเป็นยังไง

ตัวเครื่องสามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหลมาก ๆ (ถามว่าเทียบกับ Pixel ก็ยังแพ้อยู่นะ ขนาด Pixel 2 XL ออกมาปีก่อนนะ) ถ้าถามว่ามี Lag ตรงไหนมั้ยก็ตอบเลยว่า ก็มีอยู่จุดนึงคือ เวลาเราพิมพ์ใน Keyboard โทรศัพท์ เราจะเป็นคนที่พิมพ์เร็วมาก ๆ เครื่องก่อนหน้านี้ใช้ Google Pixel 2 XL คู่กับ Google Keyboard พิมพ์เร็วแค่ไหนก็ไม่มีสะอึกเลย แต่พอเอา Note 9 มาจับคู่กับ Google Keyboard เวลาพิมพ์เร็ว ๆ ก็ยังมีอาการสะอึกอยู่หน่อย ๆ สร้างความรำคาญกันไป วิธีแก้ง่าย ๆ คือ พิมพ์ให้มันช้าลงหน่อยก็ไม่มีอาการสะอึกละ

เรื่องของการเล่นเกมก็จัดว่าไม่มีปัญหาเลย ส่วนใหญ่เราก็เล่น ROV นั่นแหละ ปรับ High Framerate และ Graphic สูงสุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ก็ไม่มีอาการ Lag อะไรเลย อาจจะมีอาการ Framerate แกว่งเล็กน้อย คือเราเอามาเทียบกับ iPad Pro 10.5 inch ที่ใช้เล่นอยู่ (ขึ้น 60 FPS ตลอดไม่มีคำว่า แกว่ง) ก็ไม่ค่อยรู้สึกว่ามันต่างกันเท่าไหร่ ถือว่าดีมาก ๆ

เล่นเกมหรือใช้งานหนักนาน ๆ เครื่องร้อนก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ Note 9 นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีการระบายความร้อนที่ดีขึ้นชื่อว่า Water Carbon Cooling System ฟังครั้งแรกก็ ว้าว แล้วกับคำว่า Water เลย ใครจะคิดอะว่า จะมีน้ำในโทรศัพท์จริง ๆ ปรากฏว่า Samsung บอกว่า ใน Heatpipe มันมีน้ำจริง ๆ แต่มันเป็นไอน้ำที่สามารถนำพาความร้อนได้ จากวีดีโอด้านบน Youtuber ช่อง JerryRigEverything ก็ได้ทำการแกะและเช็คเรื่องของร่องรอยของของเหลว ปรากฏว่า ไม่พบของเหลวแต่อย่างใด โดยเขาคาดว่า ของเหลวได้ระเหยออกไป ทำให้ไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จากการใช้งานจริงก็พบว่า เครื่องมันร้อนช้าลงจริง ๆ แบบรู้สึกได้เลย เพราะเมื่อก่อนเล่น ROV ไปสัก 2 ตาติด ๆ กันก็เริ่มมีอุ่นละ อันนี้จับตอนเล่นแล้วรู้สึกกว่ามันเย็นกว่า

อีกจุดที่รู้สึกว่าระบบระบายความร้อนทำได้ดีมาจากเหตุการณ์ที่เราใช้ Personal Hostspot หรือก็คือ ปล่อย Cellular จากโทรศัพท์มาเป็น WiFi นี่แหละ เครื่องเก่าเปิดแล้วเอาคอมต่อไปแปบเดียวก็ร้อนมาก ๆ แล้ว แต่เครื่องนี้ขนาดทดสอบด้วย Load เดียวกัน ปรากฏว่าร้อนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่การที่ Note 9 ร้อนน้อยกว่า ก็มาได้จากหลายสาเหตุเช่น พื้นที่ผิวของ Note 9 เยอะกว่า และ Modem ที่ประสิทธิภาพสูงขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อการทดลองนี้ เรื่องตรงนี้ เล่าจากประสบการณ์ที่ใช้จริงมากกว่า ก็ถ้าใครใช้อยู่แล้วเรื่องความร้อนเป็นยังไงลอง Comment ลงมาหน่อย อยากรู้เหมือนกัน

Camera

มากันที่อีกเรื่องที่หลาย ๆ คนให้ความสนใจกันกับโทรศัพท์สมัยนี้นั่นคือ กล้อง นั่นเอง เราเชื่อว่า กล้องโทรศัพท์มันกลายเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับทุกคนไปซะแล้ว เอ้า ๆ ออกนอกเรื่องละ เข้าเรื่องเถอะ Note 9 มาพร้อมกับกล้องหลังคู่สมัยนิยม พร้อมกับ Flash แบบ LED และกล้องหน้าตัวเดียวขนาด 8 MP F/1.7 25mm Wide ที่ให้ภาพที่กว้างกว่ากล้องหน้าของบาง Brand นิดหน่อย

กล้องหลังอย่างที่บอกว่ามันมาพร้อมกับกล้องคู่ กล้องหลักมาพร้อมกับความละเอียด 12MP ความยาวโฟกัส 26mm แบบ Dual Pixel อะไรก็ว่าไป แต่ที่มันเจ๋งคือ มันสามารถรับค่า F ได้ 2 ค่าคือ 1.5 กับ 2.4 ตามแสงที่เราถ่าย

สำหรับใครที่ไม่เคยถ่ายรูปแบบจริง ๆ จัง ๆ มาก่อน ง่าย ๆ ว่า เวลาเราถ่ายรูป มันคือการเก็บแสง โดยปกติเวลาเราเล่นกล้องกัน มันจะมีค่าอยู่ 3 ค่าหลัก ๆ ที่เราต้องปรับเองคือ ค่า Shutter Speed (ความเร็วชัตเตอร์), Aperture (F ที่เราพูดถึง) และ ISO ถ้าเราบอกว่า การถ่ายรูปคือการตวงน้ำในถังให้พอดี ถ้าน้ำน้อยไปนั่นคือแสงไม่พอ ภาพที่ได้ก็จะมืด ๆ มองอะไรไม่เห็น แต่ถ้าน้ำมากไปจนล้น ภาพที่ได้ออกมาจะจะสว่างจนมองอะไรไม่เห็นเลย ถ้าเปรียบแบบนี้ทำให้ Aperture ก็จะเหมือนกับขนาดของก๊อกน้ำ, Shutter Speed ก็คือเวลาที่เราใช้รองน้ำจากก๊อก และ ISO คือแรงดันน้ำ

ทีนี้กลับมาที่ค่า F หรือ Aperture ของเรากัน หลาย ๆ คนอาจจะงงว่า แล้วค่ามันดูยังไง ก็ต้องบอกง่าย ๆ ว่ายิ่งค่าน้อยก็ยิ่งกว้างขึ้น นั่นเท่ากับก๊อกน้ำที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง นอกจาก F ต่ำจะทำให้กล้องเรารับแสงได้มากขึ้นในหนึ่งหน่วยเวลาแล้ว มันยังทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Bokeh Effect ขึ้นมา พูดให้ง่ายกว่านั้นนั่นคือทำให้เราได้ภาพหน้าชัดหลังเบลอ ที่กำลังเป็นที่นิยมนั่นเอง ซึ่งการสร้างรูปหน้าชัดหลังเบลอที่ว่า คนที่เล่นกล้องกันจริง ๆ ก็รู้อยู่แล้วละว่า มันทำได้ง่ายมาก ๆ เพราะเราสามารถที่จะตั้งค่ากล้องได้ดั่งใจ แต่ในโทรศัพท์ ส่วนประกอบของกล้องมันเล็กมาก ทำให้ยากมากที่เราจะทำให้กล้องในโทรศัพท์สามารถปรับค่า Aperture ได้ดั่งใจน่าจะเป็นเรื่องที่ท้าทายในเชิงวิศวะกรรมมาก ๆ แต่วันนี้ Note 9 ก็ได้ทำให้เห็นแล้วว่า มันทำได้นะ

อะแฮ่ม พูดเรื่องกล้องตัวหลักยาวมาก ไปที่กล้องอีกตัวกันเลยดีกว่า มันคือกล้องความละเอียดเท่ากับตัวหลักคือ 12MP F/2.4 แบบปรับไม่ได้ ความแตกต่างมันอยู่ที่ความยาวโฟกัส ตัวรองอยู่ที่ 52mm ที่เป็น 2 เท่าของกล้องหลักนั่นเอง ทำให้เราสามารถซูม 2 เท่าได้โดยที่ไม่เสียความละเอียด เพราะมันเอากล้องอีกตัวมาใช้แทนไง แต่จากที่ทดลอง ในบางสถานการณ์ที่มืดจริง ๆ เวลาเรากดซูมไปแล้ว มันจะไม่ขยับไปใช้กล้องตัวที่ 2 แต่มันจะใช้กล้องหลักแล้วซูมแบบ Digital ที่ทำให้เสียคุณภาพแทน เหตุผลที่มันทำแบบนั้นเพราะกล้องหลักมีค่า F ที่กว้างกว่า ทำให้รับแสงได้มากกว่านั่นเอง มันคงกลัวว่า ถ้าใช้กล้องตัวที่ 2 แล้วจะทำให้ภาพออกมามืดไปหมดมั่ง

ถ้าใครเคยใช้เจ้า S9+ มาก่อน แล้วมาอ่านสเปกก็จะ อ้าวเฮ้ย ! เท่ากันเลยนี่กว่า ใช่ฮ่ะ มันรุ่นเดียวกันยัน Model กล้องเลยละ สรุปคือ กล้องของ Note 9 คือตัวเดียวกับ S9+ เลย แต่สิ่งที่เพิ่มเข้าใน Note 9 คือเรื่องของความฉลาดที่ Samsung เรียก Feature นี้ว่า Scene Optimizer ที่จะใช้ AI ในการดูจากกล้องว่า เราน่าจะถ่ายอะไรอยู่

เช่น ถ้าเราถ่ายคน ด้านล่างมันจะขึ้นเป็นรูปคนมา บอกว่า นี่จะถ่ายคนนะ แล้วมันก็จะปรับภาพให้เหมาะเองอัตโนมัติ นอกจากคนแล้ว มันยังมี Scene อีกประมาณ 20 แบบกันไปเลย จากการใช้งานจริง ก็เหมือนผีเข้าผีออกมาก ถ่ายมือตัวเองแล้วมันก็ออกมาเป็นอาหาร งง ไปอี๊กก คือแค่ Detect เป็นอาหารแล้วไม่มีอะไรก็ไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อมัน Detect แล้วมันจะปรับสีไง อย่างอาหารเหมือนมันเร่งสี พอมันเผลอเร่งสีใส่คนนี่แหละ ชิบหาย !! นึกว่าเอเลี่ยน สีหน้าคนมันพังแบบพังไปเลย ประเด็นคือ มันไม่มีรูปก่อนที่จะเร่งสี Backup ให้เราด้วยนะ พลาดแล้วคือพลาดเลย

มาที่ Feature ที่เรารู้สึกว่ามันได้ใช้ประโยชน์มากคือ Flaw Detection เวลาเราให้คนอื่นถ่ายรูปให้ หรือเราถ่ายรูปเองก็เถอะ พอถ่ายเสร็จทุกคนแยกย้ายกันไป เราก็เปิดเช็ครูป ปรากฏ เชี้ย !!! มือสั่น !! ภาพเสียหมด หรือ Selfie ที่แค่เอื้อมมือก็ยากแล้ว ลำพังจะกดดูรูปก็ยากไปอี้ก เจ้า Flaw Detection เป็นเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเลย เพราะมันสามารถที่จะ Detect ได้ว่า รูปที่เราพึ่งถ่ายมันสั่น หรือมีอะไรเลอะอยู่หน้าเลนส์รึเปล่า มันช่วยเรามาหลายรูปละ ดีมาก ๆ

ก่อนหน้านี้พูดเรื่องการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอไป มือถือเจ้าอื่น ๆ ทำได้ดีอย่าง iPhone XS ตัวใหม่ที่มีโหมดในสำหรับถ่ายรูปหน้าชัดหลังเบลอได้สวยเวอร์ ๆ แน่นอนว่ามือถือเรือธงอย่าง Note 9 ก็ไม่แพ้ Brand อื่น ๆ ที่ติด Feature ถ่ายรูปหน้าชัดหลังเบลอเช่นกัน โดยเขาตั้งชื่อว่า Live Focus

โดยหลังจากที่เรากดถ่ายมาแล้ว เรายังสามารถเข้าไปเลือกได้อีกว่า เราจะเอาข้างหลังเบลอมากน้อยแค่ไหน และยังบอกได้อีกว่า Bokeh ด้านหลังจะให้มันเป็นทรงไหน เช่นรูปดาว รูปกระต่ายอะไรก็ว่าไป เราว่ามันแปลก ๆ ชอบกลยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเป็นคนถ่ายรูปจริง ๆ จัง ๆ มั่งเลยไม่ชอบอะไรที่ดูผิดธรรมชาติได้ขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดเราไม่อยากได้รู้ที่ถ่ายจากกล้องตัวหลักที่เป็นมุมกว้าง เราก็สามารถกด Wide-Angle เพื่อเซฟรูปมุมกว้างที่ยังไม่ได้เบลอเก็บไว้ก็ได้

หลังจากที่เราเลือกตัวเลือกต่าง ๆ ที่ทำให้เราได้ภาพที่ต้องการแล้ว มันก็จะอยู่ใน Gallery App ในเครื่องเราไป ปัญหาคือ เวลาเราจะเก็บลงคอม หรือ Google Photo มันจะไปแค่รู้ที่เบลอแล้วเท่านั้น วิธีที่เราใช้สำหรับลง Google Photo คือการเข้าไปที่รูป เลือก Wide-Angle แล้วกดเซฟออกมาเท่านี้ Google Photo ก็จะเก็บไฟล์รูปที่เป็นมุมกว้างให้เรา

ผลลัพท์ที่ได้จาก Live Focus จัดว่า ไม่น่าประทับใจเลย ด้วยความที่มันยังเบลอดูออกมาแล้วแปลก ๆ ไม่เนียนเหมือน iPhone หรือแม้กระทั่งมือถือที่มีกล้องเดียวอย่าง Google Pixel 2 เลยสักนิดเดียว ถ้าเทียบกับ Google Pixel 2 ก็ต้องพูดเลยว่า สวรรค์กับนรกไปเลยทีเดียว ทั้งเรื่องของความเนียน และความง่ายในการใช้

ส่วนอีกฟีเจอร์นึงคือ AR Emoji เอิ่ม... บอกตามตรงว่า เหมือนมีให้รู้ว่ามี ไม่รู้จะพูดยังไง ใช้แล้วรู้สึกว่า ไม่รู้จะเอาไปใช้อะไร เอาเป็นว่า เราไม่พูดถึงมันละกัน...

มาที่ผลลัพธ์ของภาพนิ่งธรรมดากันก่อนดีกว่า เริ่มจากภาพถ่ายวิวตอนกลางวัน ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ทั้งเรื่องของแสงสี และความคมชัด ที่ถึงแม้ว่ามันจะดูคมแบบปลอม ๆ ไปบางครั้ง

จากรูปนี้ถ่ายโดยใช้ Mode Auto แบบ เดินผ่านแล้วกดแชะเลย ผลที่ได้จัดว่า สุดยอดไปเลย ในภาพมีความต่างของแสงที่ค่อนข้างเยอะมาก ทั้งพระอาทิตย์ที่กำลังตก และตึก ถ้าเป็นกล้องรุ่นที่แย่กว่านี้ น่าจะทำให้ตรงตึกนี่มืดหายไปเลย แต่มาอันนี้ ทั้งรายละเอียดของส่วนสว่าง และส่วนที่มืด ถูกดึงออกมาได้อย่างแนบเนียนและดูสวยงามดีมาก

สลับมาที่ภาพกลางคืนบ้าง ภาพนี้เป็นภาพกลางคืนที่เดินผ่านแล้วกดถ่ายและสะบัดตูดเดินไปเลย เพราะฉะนั้น มันการถ่ายรูปแบบผ่านไปเร็วมาก ภาพที่ได้ก็จัดว่าไม่เลวเลยจริง ๆ พอดูได้ โดยเฉพาะที่ งง มากคือ ตอนนั้นเปิดกล้องมี iPhone X, Huawei P10 และ Note 9 นี่แหละ เปิดกล้องมาในที่ที่มืดมาก ๆ ปรากฏว่า Note 9 เป็นเครื่องเดียวที่มองเห็นของแถวนั้น แล้วกดถ่ายออกมาได้นะ แต่ Noise บานอี๊ก

ส่วนเรื่องของวีดีโอ ก็ลองไปอ่านรีวิวของคนที่ถนัดดีกว่า เพราะนี่ก็ไม่ค่อยได้ถ่ายวีดีโอเหมือนกัน เลยไม่ได้ลองอัดสักเท่าไหร่ แน่นอนว่า Note 9 มาพร้อมกับความสามารถในถ่ายวีดีโอ 4K ที่ 60FPS ได้ หรือถ้าอยากได้ Slow-motion ก็ได้เช่นกันที่ 960 FPS ที่ 720p หรือในความละเอียดสูงขึ้นที่ 1080p ก็จะได้ความ Slow ที่น้อยลงมาหน่อยที่ 240 FPS

สำหรับกล้องหน้าที่มาพร้อมกับความละเอียด 8MP ก็ทำได้ไม่แย่เลย ที่ผ่านมา เราเจอแต่โทรศัพท์ที่กล้องหน้าแย่มาตลอด (จนกระทั่ง Pixel 2 XL แหละ) เลยทำให้ไม่ค่อยชอบ Selfie มาโดยตลอด แต่มาในเครื่องนี้รู้สึกสนุกกับการ Selfie มาก ด้วยคุณภาพของภาพที่พอใช้ได้ และ Effect แต่งหน้าที่รู้สึกเล่นแล้วตลกดี

Battery

เรื่องนึงที่เป็นสิ่งสำคัญของอุปกรณ์เคลื่อนที่เลยก็ว่าได้ นั่นคือ แหล่งพลังงาน หรือ แบตเตอรี่ นั่นเอง จอใหญ่ขนาดนี้ เครื่องสเปกสูงขนาดนี้ ต้องมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เช่นกัน ไม่งั้นก็จะเลี้ยงเครื่องขนาดนี้ไม่ไหวแน่นอน Note 9 มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh ที่ถือว่าใหญ่มาก ๆ นับตั้งแต่ Note 7 ที่จัดว่าเป็นวัตถุระเบิดไปซะงั้น ถถถถ

ต้องบอกก่อนว่า เราเป็นคนที่ใช้โทรศัพท์เยอะมาก ๆ ตั้งแต่เล่น Social Media, ดู Netflix กับ Youtube นอกจากนั้นที่กินแบตเตอรี่มาก ๆ คือเรามักจะเปิด Hotspot ตอนที่ใช้ iPad อีกด้วย คิดว่าการที่แบตหมดเร็วมาก ๆ เนี่ย มาจาก Hotspot นี่ละ

จากการใช้งานแบบเรานี่ก็ต้องบอกเลยว่า แบตอยู่ได้ไม่ถึงวันจริง ๆ ก็จะชาร์จผ่าน Powerbank ตอนเย็น ๆ ขากลับหอเลย แต่ต้องซูฮกเลยว่า ขนาดเปิด Hotspot นานขนาดนี้ มันยังอยู่ได้ถึงเย็น เป็นเครื่องเก่าน่าจะตายตั้งแต่ครึ่งวันละ อันนี้อยู่มาได้จบวันเลยทีเดียว แต่ดันหมดซะก่อน ถ้าใช้งานทั่วไปน่าจะเหลือเฟือเลยละ

แบตเตอรี่ความจุเยอะขนาดนี้ ก็ต้องมาพร้อมกับระบบชาร์จเร็วเป็นธรรมดา โดยเจ้า Note 9 รองรับระบบ Adaptive Charging ที่เป็นระบบชาร์จเร็วจาก Samsung เองเลย โดยผ่านการใช้ Adapter ที่มากับกล่อง แต่เราเองมี Adapter ของ Aukey ที่รองรับ Fast Charge ปรากฏว่า พอเสียบเข้าไป มันก็กลายเป็น Quick Charge เลยไม่ได้ใช้ Adapter ที่มากับกล่องเลย เวลาในการชาร์จเอาจากสัก 9% เป็น 100% เต็มก็ราว ๆ สักเกือบ 2 ชั่วโมงได้ ถือว่าเร็วมาก ๆ นอกจากการชาร์จผ่านสายที่เร็วแล้ว ยังรองรับ Fast Charge ผ่าน Wireless Charging อีกด้วย ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ชอบความสะดวกจากการชาร์จไร้สายด้วย

Connectivity

Note 9 มาพร้อมกับ Modem หรืออุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ Internet ที่น่าจะแจ่มที่สุดตัวนึงของโลก ณ ตอนที่มันออกเลยก็ว่าได้ เพราะตัวเครื่องเองรองรับ 4G LTE ระดับ 1.2 Gbps กันเลยทีเดียว แต่ ๆๆๆ ถึงแม้ตัวเครื่องบอกว่า ความเร็วที่ทำได้สูงสุดคือเท่านั้น แต่เสียใจกับผู้รักในความแรงด้วย เพราะปัจจุบันเครือข่ายบ้านเรายังไม่รองรับความเร็วระดับนั้นนะ ก็ต้องรอต่อไปว่า เมื่อไหร่ เราจะได้ความเร็วระดับนั้น เอาจริง ๆ นี่ใช้ค่ายเขียวอยู่บอกว่าสูงสุด 300 Mbps ก็ยังไม่เคยเกิน 190 Mbps สักทีเลย สูงสุดก็คงเป็นสูงสุดที่เอื้อมไม่ถึงต่อไป

เรื่องของการเชื่อมต่ออื่น ๆ ก็รองรับเป็นปกติ ตั้งแต่ 802.11 a/b/g/n/ac พูดง่ายของอันนี้คือ WiFi นั่นแหละ รองรับหมดแบบที่ใช้กันหลัก ๆ Bluetooth 5.0 ก็รองรับ และ NFC ที่ใช้ส่งข้อมูลผ่านการแตะก็รองรับเช่นกัน

นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว Feature อื่น ๆ อย่าง VoLTE และ VoWiFi ที่จะให้เสียงที่คมชัดระดับ HD Voice และต่อสายเร็วขึ้น (ถ้าต้นทางและปลายทางเปิดใช้ด้วยกัน) ก็รองรับในเครือข่ายที่รองรับด้วย (ของพวกนี้มันไม่ได้ขึ้นกับโทรศัพท์เราอย่างเดียว มันขึ้นกับผู้ให้บริการเครือข่ายด้วยว่า เขาจะเปิดให้เราใช้รึเปล่า หรือไม่ก็ เขามีบริการนี้รึเปล่า) จากการใช้งานก็พบว่า มันต่อสายเร็วขึ้นจริง ๆ และเสียงที่ได้ รู้สึกเลยว่า มันคมชัดขึ้น พูดคำว่าอะไรนะน้อยลง ชอบมาก ๆ

เทคโนโลยี Next G ที่เป็นการรวมกันระหว่าง LTE และ WiFi เข้าด้วยกัน ที่ทำให้เราได้ความเร็วระดับ Gbps ก็รองรับแบบ Native เลย กล่าวคือ มันมี Setting ตัวนี้ มากับเครื่องเลย พร้อมใช้งาน ถ้าคุณใช้เครือข่ายที่รองรับ (ตอนนี้ก็เห็นมีแต่ค่ายเขียว) และ Package ที่รองรับ แค่เราไปอยู่ในที่ ๆ มี AIS WiFi และเราติ๊กเปิด Next G เราก็สามารถสัมผัสประสบการณ์ความเร็วระดับเทพได้เลย (เขาไม่ได้จ่าย แต่เราจ่ายเองนะ ถ้าใครที่ไม่ได้มี Setting ในเครื่องเลย แล้วใช้ Android 7 ขึ้นไป แล้ว Package ถึง ก็สามารถโหลด Next G App จาก Play Store แล้วก็เปิดใช้ผ่าน App ได้เลย) แต่ถ้าใครหวังว่า จะเอามันจิ้มเข้าคอมผ่าน USB ก็ต้องบอกเลยว่า ทำไม่ได้นาจา ถ้าเราเปิด Next G อยู่ แล้วเราแชร์เน็ตเข้าคอม มันจะปิด Next G แล้วใช้ WiFi ตามปกติแทน ว้ายยยอดไปนะ

พูดถึงแชร์อินเตอร์เน็ตแล้ว โทรศัพท์รุ่นสมัยนี้ก็มาพร้อมกับความสามารถนี้กันหมดแล้วละ สำหรับใครที่เรื่องมากอย่างเราอะ เวลาเราจะเปิด Hotspot หรือแชร์เน็ตออกมาผ่าน WiFi อะ ในเรื่องไทย เราไม่สามารถปรับความถี่จาก 2.4 GHz เป็น 5 GHz ได้นะ ที่บอกเพราะว่า ถ้าเราไปดูคลิปของฝั่ง USA อะ เขาจะทำได้ แต่เครื่องที่ซื้อในบ้านเราจะเลือกไม่ได้นะ เดาว่า น่าจะเป็นการปิด Feature นี้ไว้ผ่าน Software และสำหรับคนที่ชอบเปิด Hotspot ตัวเครื่องรู้สึกว่า มันทำงานได้ดีมาก ๆ เวลาใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่าน Hotspot ปกติมันจะหน่วง ๆ นิด ๆ แต่มาอันนี้แทบไม่รู้สึกเลยว่ามันหน่วง ๆ เพราะนี่ใช้ LTE แทนเน็ตหอกับแชร์ให้ iPad ก็ไม่รู้สึกถึงความหน่วงอะไรขนาดนั้นเลย เมื่อเทียบกับเครื่องเก่าที่แอบหน่วง ๆ เวลาเราใช้ Traffic เยอะ ๆ

Software

มาคุยกันเรื่อง Software ที่มากับตัวเครื่องกันบ้าง ตัว Note 9 มาพร้อมกับ Android 8.1 ที่ ควรจะ ได้รับการ Update เป็น Android 9.0 ในเร็ว ๆ นี้ และยังมาพร้อมกับหน้ากากแฟนซีทับ Android ของ Samsung เองอย่าง Samsung Experience 9.5

ตัวเครื่องเริ่มต้นมากับ Blotware ล้านชนิดตามสไตล์ Samsung เอง ก็คงเหมาะกับคนที่ไม่เคยใช่มาก่อน แต่กับเราที่เป็น Power User แล้วก็ต้องบอกเลยว่า เกลียด มาก มาในรอบนี้น่าเกลียดกว่าที่เคยด้วยการเอามันมาผนวกเข้ากับ Settings ของเครื่องซะเลย ถ้าใครที่ใช้ลองเข้าไปที่ Settings > Device mainteancne > Storage เราจะเห็นว่า มันเป็นหน้าสำหรับช่วยเอา Cache ที่ไม่ได้ใช้ออก แต่สังเกตด้านขวาของขอ เราจะเห็นมันเขียนว่า powered by +360 เอ๋.... มันคืออะไรกันน้าาาา หรืออย่างใน Device Security เขียนว่า powered by McAfee โอเคอันนี้รับได้อยู่ แต่บริษัทจีนนี่ไม่รู้สิ รู้สึกไม่ปลอดภัยเลย ไม่ได้อยากจะว่าบริษัทในจีนนะ ตั้งแต่เจอ Baidu PC Faster เข้าไป กับข่าวอีกหลาย ๆ ข่าวที่เคยออกมาว่า App จีนมีการขอ Permission แปลก ๆ ที่ไม่ควรจะขอแล้วส่งข้อมูลกลับไปที่ Server ที่จีน เลยทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในความเป็นส่วนตัวเลย

กับเมื่อกี้เลยตอนจะ Clear Cache มันก็ขึ้นรายการว่ามี Cache จาก App ไหนอีก แล้วมันขึ้นเป็น App ชื่อที่เขียนด้วยภาษาจีนขึ้นมา นี่ก็บรรลัยแล้วไง เพราะประเด็นคือ เราไม่รู้เลยว่า มันคือ App อะไร และ นอกจาก +360 เนี่ย มันอีกอะไรอย่างอื่นที่แอบซ่อนไว้รึเปล่า นอกจากนั้น +360 ที่เล่าไปเนี่ย มัน Preload มากับเครื่องเลย เพราะฉะนั้นมันไม่ต้องขอ Permission จากเราเลยนะ เราไม่มีทางรู้เลยว่า มันได้อะไรไปบ้าง หรือ Full Access เลย ข้อนี้เป็นเรื่องที่เรารู้สึกกังวลมาก....

กลับมาที่ตัว Software กันต่อ หน้าตาและ Feature ของมันก็จะเหมือนกับ S9 และ S9+ เป๊ะ ๆ เลย เลื่อนขึ้นเพื่อเปิด App Drawer และในนั้นเลื่อนซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนหน้า โดยเราสามารถเลือกได้ด้วยนะว่า จะให้เรียง App ตามอะไร เช่นเราก็เลือกให้มันเรียงตามตัวอักษรเลยหาง่าย หรือเราจะเรียงเองก็ได้เหมือนกัน จากความที่เคยใช้ Pixel มาก่อน ก็บอกเลยว่า ช่วงแรก ๆ เลื่อนผิดเลื่อนถูกบ่อยมาก ตรงเลื่อนขึ้นเพื่อเปิด App Drawer อะถูก แต่พอจะเลื่อนหน้า App ชอบไปเลื่อนลง อ้าวปิดเฉย !! อันนี้ Software ไม่ผิด แต่ตรูนี่แหละ โง่เอง โว้ยยยยย

ตัวเครื่องถูก Preload มาด้วย Samsung App มากมาย (นอกจากที่อยู่ใน Settings ที่หัวร้อนไป) ถามว่า ใช้จริงเท่าไหร่ ก็บอกเลยว่า น้อยมาก ๆ

ที่ใช้บ่อย ๆ ก็จะมีแค่ Galaxy Gift ที่กลายเป็นเพื่อนคู่ใจตอนเดินห้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เข้าห้างที่ไร ก็ต้องเปิด App นี้ดูตลอด สำหรับใครที่ไม่รู้จักว่า Galaxy Gift คืออะไร มันคือ App ที่รวบรวมสิทธิพิเศษที่เปิดให้สำหรับผู้ใช้โทรศัพท์​ Galaxy เท่านั้น เช่น เราสามารถซื้อเซ็ต KFC ในราคาพิเศษอะไรประมาณนั้น (KFC ไม่ได้จ่ายนะ ไม่อวย ถถถถ) เวลาเดินห้าง เราก็จะเป็นทาสการตลาดโดยสมบูรณ์ โดยการเลือกร้านที่มี Galaxy Gift ไปซะงั้น

Voice Recorder เป็นอีก App ที่เราค่อนข้างชอบมาก ๆ เพราะ App สำหรับอัดเสียงอื่น ๆ มันทำได้แค่อัดออกมาเป็นไฟล์ แล้วเราก็เอาไปฟัง แต่อันนี้ เราสามารถเลือกโหมดได้ว่า เราจะแค่อัดเสียง หรือทำได้แม้กระทั่ง Speech-to-text เลย มันก็จะออกมาเป็น Transcript ให้เลย สะดวกเวอร์ ! อีก App ที่ใช้จะเป็น Samsung Note เดี๋ยวจะไว้ไปเล่าใน Section ของ S-Pen ละกัน

จุดที่รู้สึกว่า ไม่ชอบกับเรื่อง App คือ App ที่ Preload มาบางตัวมันไม่สามารถที่จะ Disable หรือเอาออกได้เลย เราก็ต้องใช้มันคู่กันนี่แหละ ตัวอย่างเช่น Calendar App ที่มันทำอะไรไม่ได้เลย คือ เราใช้ Google Calendar อยู่แล้ว เลยอยากจะใช้ตัวเดิม Samsung Calendar มันก็ Sync กับ Google ได้แหละ แต่เราแค่รู้สึกไม่ชิน เลยไม่อยากใช้เท่านั้นเอง ทีนี้ ปัญหามันจะจบนะ ถ้า Samsung Calendar มันไม่เล้าหรือเรา เวลาที่ใกล้ถึงเวลานัดมันก็จะมี Notification ขึ้นมา ถ้าเรามีแค่ Samsung Calendar ตัวเดียวมันก็จบไง แต่พอเรามี Google Calendar มาด้วยทีนี้แหละ Notification จาก 1 มันจะเป็น 2 เลย เพราะต่างคนต่างเด้งพร้อมกัน โว้ยยยย วิธีง่าย ๆ ของเราก็คือ ปล่อย Samsung Calendar ไป แต่เราเข้าไปปิดการแจ้งเตือนของมันแทน มันทำให้เราสามารถทำให้มันหุบปากได้แต่เอาออกไม่ได้ !

Samsung ชูตัวเองในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูลในเครื่องที่เข้ารหัสยัน Hardware กับ Samsung Knox ถ้าเราเป็นผู้ใช้ธรรมดาก็คงไม่ได้สนใจอะไร แต่กับคนที่เก็บ Sensitive Data ไว้ อันนี้ก็น่าจะชอบกัน เช่น Secure Folder ที่เป็น Isolated App Folder และเข้ารหัสข้อมูลในนั้นไว้ โดยเราสามารถเพิ่ม App ของเราเข้าไปใน Secured Folder ได้ แล้ว App ที่อยู่ในนั้น จะแยกออกจาก App ปกติอย่างสิ้นเชิง เช่นเราเพิ่ม Facebook ลงไป มันก็จะมี Facebook ในหน้าธรรมดาที่ใช้ Account ส่วนตัวเราอันนึง แล้ว Facebook ที่อยู่ใน Secure Folder ก็สามารถ Login ได้โดยใช้อีก Account นึง อารมณ์เหมือนเราแยก Data ของ App ออกจากกันไปเลย ทำให้เราสามารถแยกส่วนที่เป็นงานออกจากเรื่องาส่วนตัวได้นั่นเอง นอกจากนั้น การที่เราจะเข้า Secure Folder ได้ เราจะต้อง Authenticate หรือยืนยันตัวโดยการใช้รหัสผ่านหรือวิธีอื่น ๆ เช่นการสแกนม่านตา เพื่อเข้าไปใช้ข้อมูลใน Secure Folder

อีกอันนึงที่ชอบมากคือ Samsung Pass มันเป็น Password Manager ในโทรศัพท์เรา ที่มัน Integate เข้ากับการใช้งานได้อย่างลงตัว ลักษณะมันจะเหมือนกับ Auto Complete ธรรมดานี่แหละ แต่การที่จะใช้มันได้ เราจะต้อง Authenticate เหมือนกับ Secure Folder เลย

ในเครื่องมันมี App ชื่อ Edge Screen มา คือมันจะเป็นแง่ง ๆ อยู่ขอบจอตรงที่โค้ง ๆ พอเราลากออกมามันก็จะเป็นเมนูหลาย ๆ อย่างเช่นเปิด App หรือกดโทรไปที่คนโน้นคนนี้อะไรทำนองนั้น ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้มันมีเมนูอะไรบ้างเป็นหน้า ๆ เลยเช่น หน้าแรกเราอยากให้มันเป็น App Quick Launch แล้วเราก็บอกว่า จะให้ App อะไรอยู่ตรงไหนบ้าง กับมันจะมีหน้าที่เป็น Contact มา เราก็เลือกได้ว่า จะให้มันเป็นหน้าที่เท่าไหร่และจะมีชื่อใครบ้าอยู่ตรงไหน ตอนแรกก็รู้สึกรำคาญนะ แต่พอใช้ไปก็รู้สึกว่า มันทำให้เราทำงานที่เราต้องทำประจำได้ง่ายและเร็วขึ้นมาก แทนที่จะต้องเลื่อนเข้า App Drawer เพื่อไปหาอีก อันนี้เราเลื่อนออกมาเลย แล้วเราก็น่าจะจำได้อยู่แล้วว่า App ที่เราต้องการอยู่ใน Edge Screen รึเปล่า และอยู่ตรงไหน เราก็กดได้เลยไม่ต้องไปหาอีก

S-Pen

S-Pen ถือว่าเป็นของที่อยู่คู่กับ Series Note เลยก็ว่าได้ ถ้าไม่มี S-Pen ก็ไม่ใช่ Note แล้วละ มาในปีนี้ S-Pen ใน Note 9 ก็ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น ด้วยการมี Bluetooth ในปากกาด้วย ทำให้เราสามารถสั่งงานผ่านปากกาได้ ที่ Samsung โชว์นักโชว์หนาคือการใช้ S-Pen เพื่อกด Slide ผ่าน Powerpoint พูดเอาความจริงเลยนะ คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีสายต่อโทรศัพท์ออกจอขนาดนั้นหรอก หรือแม้กระทั่งว่า เราอยู่ในจุดที่เรามั่นใจให้โทรศัพท์มาเป็นอุปกรณ์หลักสำหรับงานที่ต้องการความเชื่อถือได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยเฉพาะงานที่โทรศัพท์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำแต่แรก เราเลยว่ามันเลยดูเป็น Gimmick ไป

อีกสิ่งนึงที่มันสามารถทำได้แล้วดีมากเลยนั่นคือ การกดปุ่มบน S-Pen เพื่อเป็นการกดชัตเตอร์ถ่ายรูปได้ เวลาที่เราจะถ่ายรูปกับคนเยอะ ๆ เราก็แค่ตั้งโทรศัพท์พร้อมกับเล็งให้เรียบร้อย แล้วเราก็วิ่งกลับมาเข้าเฟรม แล้วก็กดที่ S-Pen แล้วถ่ายรูปได้เลย นอกจากกดแล้วจะเป็นการถ่ายรูปแล้ว การกดค้างที่หน้าใด ๆ มันก็จะเป็นการเข้ากล้องเลย จัดว่าเป็น Feature ที่เราชอบมากอันนึงของ Note 9 เลยก็ว่าได้ เพราะมันได้ใช้ประโยชน์จริง

สำหรับใครที่คิดว่า ปากกาแท่งแค่นี้มันจะอยู่ได้สักแค่ไหนกันเชียว ต้องบอกก่อนว่าเจ้า S-Pen มันเชื่อมต่อกันผ่าน Bluetooth LE (Low Energy) ก็ตามชื่อเลย มันใช้พลังงานต่ำมาก ๆ ทำให้แบตก้อนเล็ก ๆ ในปากกามันอยู่ได้นั่นเอง สำหรับเรื่องของการชาร์จปากกา เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากเสียบปากกาเข้าไปในเครื่อง ราว ๆ 40 วินาทีมันก็ชาร์จเต็มใหม่แล้ว เพราะในปากกามันเป็น Super Capacitor สำหรับใครที่กังวลว่าถ้า S-Pen แบตหมดแล้วจะเขียนไม่ได้ ก็ต้องบอกเลยว่ามันก็ยังเขียนได้เหมือนเดิมนะ แค่ใช้เป็น Remote ไม่ได้เท่านั้นเอง

มาที่ตัวปากกากันเลยบ้าง สีที่เราซื้อมาคือ สีดำ ก็จะมากับปากกาสีดำ (สำหรับปากกาสีเหลือง จะมาพร้อมกับเครื่องสีน้ำเงินเท่านั้นนะ ตอนนั้นจะไปซื้อแล้วมันหมดพอดีเลยอด) ตัวปากกาก็จัดว่าเบาดี เวลาเอาออก เราก็ต้องกดหัวแล้วดึงมันออกมา ข้อสังเกตคือ เวลาเรากดแล้ว ตอนดึงออกมา มันจะเหมือนมีแม่เหล็กกันไว้อีกชั้นนึง เพื่อให้ปากกาไม่ลื่นตกลงมาตอนที่เราเผลอไปกดโดนปากกานั่นเอง แต่นั่นก็ทำให้การเอาปากกาออกมามันลำบากขึ้นมากเลย โดยเฉพาะคนที่ใส่เคส เพราะเคสมันจะไปทำให้พื้นที่เพื่อให้เราดึงปากกาออกมามีน้อยลง ทำให้เราต้องใช้เล็บจับแล้วดึงออกมา ซึ่งเราก็กลัวเรื่องของรอยที่อาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราใช้เครื่องไปเรื่อย ๆ

Note เครื่องก่อนที่เราเคยใช้มันคือรุ่นแรกเลย ตอนนี้มาใช้ Note 9 ต้องบอกเลยว่าสัมผัสต่างแบบต่างชิบ เวลาเขียนแล้วกดมันจะรู้สึกนะว่าเรากดอยู่ ในหน้าจอมันก็เป็นเส้นหนาขึ้นด้วยแหละ แต่ความรู้สึกที่หัวปากกามันกดลงไปบนจอ เราก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรากดมันอยู่ ต่างจาก iPad Pro ที่ใช้อยู่ ที่มันจะเป็นหัวแข็ง ๆ ที่ทำให้เราไม่รู้สึกถึงแรงกดเมื่อเรากดปากกาเข้าไป ต่างจาก Note 9 ลิบลับ

Samsung Note ที่มากับเครื่องสำหรับการจด Note ต่าง ๆ ใช้แล้วรู้สึกว่า มันก็ไม่เลวเลยทั้งลูกเล่นต่าง ๆ โดยเฉพาะจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเสียงเวลาเราเขียนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับเขียนอยู่บนกระดาษจริง ๆ กับสีที่สามารถเลือดได้ต่าง ๆ นา ๆ ก็เป็น App ที่ดี แต่ถามว่า ถ้าพูดถึง Feature ในเรื่องของการจด ก็ต้องบอกเลยว่า มันยังไม่ได้ดีเท่าไหร่นัก เรายังไม่ให้มันมาอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญมาก ๆ แน่นอน

ก่อนหน้านี้ตอนเราใช้ Note ตัวแรก ตอนนั้น เราก็คิดนะว่าจะซื้อมาเพื่อจดโน้นนี่นั่น แต่พอเอาเข้าจริง มันก็ทำไม่ได้แบบนั้น เราต้องยอมรับก่อนว่า โทรศัพท์มันก็มีขนาดที่ไม่ได้ใหญ่เท่ากับ Tablet เพราะฉะนั้น การที่เราจะหวังว่ามันสามารถเอามาจดทดแทน Tablet หรืออะไรที่ต้องการความเร็วมาก ๆ ก็ต้องบอกเลยว่า อย่าหวังเลย ถ้าจะซื้อเพราะมันจดแทน Tablet ได้ไปซื้อ iPad เถอะ

Samsung Galaxy Note 9 โทรศัพท์ที่เกือบสมบูรณ์

Samsung Galaxy Note 9 เป็นโทรศัพท์ที่เราว่าน่าซื้อมาเล่นอีกเครื่องเลย ถึงมันจะไม่ได้มีกล้องที่ดีที่สุดอย่าง Huawei P20 Pro หรือ DAC ที่ดีสุดอย่าง LG V40 แต่ถ้าเราเอามาหลาย ๆ ด้านของความเป็น Smart Phone ในปัจจุบันมาตั้ง ทั้งเรื่อง กล้องถ่ายรูป การเชื่อมต่อ หน้าจอ เสียง และอื่น ๆ มาตั้งดูแล้ว Note 9 ดูจะเป็นโทรศัพท์ที่ไม่ได้ดีไปในด้านในด้านหนึ่งที่สุด กับมีจุดให้ตำหนิมากมาย แต่คะแนนรวมแล้วมันก็ถือว่าน่าจะดีที่สุดแล้วในแง่การใช้งานจริง ถ้าใครสนใจ ก็มีขายทั่วไปตามร้านเลย หรือจะซื้อกับ Network Operator ก็จะได้ราคาที่ถูกลงนาจา (พร้อมสัญญา)