รีวิว Dyson V12 Detect Slim เครื่องดูดฝุ่นราคาเหยียบ 3 หมื่น ทำอะไรได้ ?
คราวก่อนเราเคยรีวิวของจาก Dyson ไปแล้วคือ Dyson Lightcycle ที่เป็นโคมไฟอันละ 2 หมื่นกว่าบาท ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็ดีจริง มันเลยแพง มาที่อีกชิ้นที่เราว่า น่าจะได้รับความสนใจเยอะกว่าไฟเยอะคือ เครื่องดูดฝุ่น นั่นเอง พอดีว่าที่บ้านหาเครื่องดูดฝุ่นใหม่พอดี กดมาแล้วก็เอามารีวิวเลยละกัน กับ Dyson V12 Detect Slim
ปล. Dyson ไม่ได้จ่ายเด้อ รีวิวจากการใช้งานล้วน ๆ
เครื่องดูดฝุ่น Dyson มีรุ่นไหนบ้าง ?
ก่อนเราจะไปดูรุ่นที่เราเอามารีวิววันนี้ เรามาดูกันก่อนว่า ในเครื่องดูดฝุ่นของ Dyson มีรุ่นไหนให้เราเลือกซื้อบ้าง
ถ้าเราเข้าไปดูในเว็บของ Dyson มันจะมีหลายรุ่นสุด ๆ ไปเลย แยกออกมาเป็นตระกูล V เช่น V8, V11 และ V12 หลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจว่า V12 นี่แหละ ใหม่สุด ดีสุด แต่ถ้าเราเข้าไปดูในสเปกแล้ว V12 มันจะออกแนวทำให้ เบา และ Slim มาก ๆ ทำให้ กำลังดูด มันได้ไม่เท่ากับ V11 เลย ห่างกันนิดหน่อย ทำให้ถ้าเราอยากได้กำลังสูงสุด เราก็ต้องไปเล่น V11 แต่เราก็จะเสีย Feature บางอย่างไป เน้นกำลังดูดล้วน ๆ (เพราะถ้าเราอยากได้ กำลังสูง กับ Feature ใหม่ มันต้องใช้ V15 ซึ่ง ณ วันที่เขียน Central ยังไม่ได้เอาเข้ามาขายในไทย)
รุ่นอื่น ๆ อย่าง Micro 1.5 Kg ที่ทำให้น้ำหนักของมันเบามาก ๆ เพียง 1.5 Kg เท่านั้น น่าจะเหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการ Performance สูงมาก แต่ เน้นน้ำหนักที่เบา ทำงานง่าย หรือจะเป็นรุ่น Omni-Glide อันนี้เราบอกเลยว่า ใครที่อยู่คอนโด น่าจะชอบเลย ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้ใช้พื้นที่ในการเก็บน้อย และมีหัวพิเศษที่ทำให้เราเข้าซอกได้ดีขึ้นเหมาะกับที่แคบ ๆ เลย แลกมากับเวลาในการดูดที่น้อยลงต่อชาร์จ แต่ถ้าเราอยู่คอนโดอยู่แล้วมันก็ตอบโจทย์เลย
กลับมาที่ V12 ที่เรารีวิวในวันนี้ ถ้าเราเข้าไปกดซื้อในหน้าเว็บ มันจะมี 4 แบบให้เราเลือก ที่จะแตกต่างไปตามอุปกรณ์เสริมที่ได้มา โดยที่ตัวเริ่มสุดเลยคือ Dyson V12 Detect Slim Fluffy ราคาอยู่ที่ 21,900 บาท มาพร้อมกับ หัวดูดทำความสะอาดพื้น 1 ชิ้น และ หัวเสริม 5 ชิ้น พร้อมกับ Wall Dock และ Adapter 1 ชุด ซึ่งก็เหมาะกับการใช้งานทั่ว ๆ ไปแล้วละ
และตัวแพงที่สุดคือ Dyson V12 Detect Slim Absolute Extra ที่ตัวเครื่องดูดฝุ่น เราได้ V12 เหมือนกัน แต่เพิ่มอุปกรณ์เข้ามาเป็นหัวดูดทำความสะอาดพื้น 2 ชิ้น และ หัวเสริมอีก 6 ชิ้น พร้อมกับ Wall Dock และ แท่นทางกับพื้น พร้อมกับ Adapter จำนวน 2 ชุด กับ Battery เพิ่มอีก 1 ก้อน เรียกได้ว่า Super Ultimate เลยละ มีทุกอย่างที่พึงซื้อได้ที่เป็นอุปกรณ์เสริมจาก Dyson แล้ว ซึ่งตัวนี้ เราไม่สามารถไปซื้อหน้าร้านได้ด้วย มีเฉพาะบน dyson.co.th เท่านั้นด้วย
กับถ้าเราอยากซื้อหน้าร้านจริง ๆ เราถามว่า ถ้าเราซื้อของที่มีหน้าร้านแล้วสั่ง Battery กับ แท่นวางบนพื้นเพิ่ม ราคามันจะต่างมั้ย เราลองคำนวณดูแล้ว มันจะต่างกันเยอะมาก ๆ ดังนั้น ถ้าเราอยากได้ Battery เพิ่ม กับ แท่นวางพื้น เราแนะนำสั่งตัว Absolute Extra บนหน้าเว็บดีกว่า
Unboxing
เราสั่งไป ไม่ 2-3 วันเท่านั้นเอง ของก็มาส่งถึงบ้านเลย บอกเลยว่าหนักมาก ๆ ฮ่า ๆ มาในกล่องน้ำตาลปิดอย่างดี สูงปรี๊ด
ดึงกล่องน้ำตาลออกมา เราจะเจอกับกล่องจริง ๆ ของ Dyson V12 Detect Slim Absolute Extra ถ้าเราสั่งแบบไหน มันก็จะเขียนชื่อมาแบบนั้นเลย พร้อมกับรูปของตัวของที่วางอยู่บนแท่นวางบนพื้นด้วย ซึ่งจะมาพร้อมกับตัว Absolute Extra และ Total Clean เท่านั้น
หันด้านข้างกล่อง ก็จะเป็นรูปตัวเครื่องที่หันด้านข้างปกติเลย
หันอีกด้านข้าง มันก็จะเป็นรูปเดียวกันนั่นแหละ แต่เราจะเห็นเส้นอะไรดำ ๆ นั่นคือที่สำหรับหิ้วนั่นเอง เพราะน้ำหนักมันเยอะมาก ๆ เลยต้องทำที่หิ้วไว้ให้ แต่ตอนขนส่งพี่ดันเอากล่องน้ำตาลคลุมไว้ ดังนั้นเวลาเราเอาเข้าบ้านก็คือ อุ้มเลยจ้าาาา
ด้านหลังกล่องเราถ่ายมาเป็นแนวนอนละกัน ก็จะเหมือนกับรูปแรก คือด้านหน้าเลยไม่ต่างกัน
เมื่อเราเปิดกล่องออกมา เราจะเจอกับความว่างเปล่า ห่ะ ? มาเป็นแบบนี้เลย โดยด้านซ้ายที่น่าจะเป็นคู่มืออะไรสักอย่าง
ตัวคู่มือมันใส่มาให้ในกล่องเลย น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นในการแกะละกัน ยกขึ้นมา มีน้ำหนักเยอะมาก ๆ
ปรากฏว่า หันขึ้นมา มันมีอะไรงอกออกมาด้วย น่าจะเป็นฐานของแท่นวางบนพื้น
เปิดฝากล่องด้านหน้าสุดออกมา เป็นกล่องปิดแนวยาว ๆ เลย เราจะเจอกับขาของแท่นวางบนพื้น
จากในรูปเราจะเห็นเลยว่า เขามีการเอากล่องกระดาษมาปิดหัวท้ายด้วย เพื่อไม่ให้มันขยับเวลาขนส่ง ที่แตกต่างจากเจ้าอื่น ๆ เวลาเขาจะแพคอะไรพวกนี้ เขาจะเอาพลาสติกมา Wrap ไว้ แต่ Dyson อันนี้ไม่มี
จากนั้นเราเอาฝาปิดด้านบนออก เราจะพบกับอุปกรณ์เยอะมาก ๆ วางอยู่เต็มกล่องเลย
เริ่มจากกล่องเล็ก ๆ ด้านบนกันก่อน หยิบขึ้นมาหนักมาก ๆ
เปิดออกมาเป็น Battery อีกหนึ่งก้อน สำหรับเปลี่ยนได้ โดยมันจะมากับตัว Absolute Extra เท่านั้น ตัวอื่นไม่มีเด้อ แต่เราสามารถซื้อเพิ่มได้ก้อนละ 6,500 บาท ถือว่าราคาเดือดมาก และถ้าใครที่ใช้ V11 รุ่นที่เปลี่ยน Battery เองได้ จะใช้กันไม่ได้เด้อ และราคาก็ต่างด้วย น่าจะคนละ Model เลย
ไปที่ซองกระดาษ ที่มันบังของ เราเลยเอาขึนมาดูว่ามันคืออะไร ปรากฏว่า มันจะเป็นพวก Paperwork ต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่อ่าน
เมื่อเราเอา Paperwork ออกมา พวกอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จะเห็นหมดเลยมีเยอะมาก ๆ เราค่อย ๆ มาดูกันทีละตัวกันดีกว่า
ชิ้นแรก จะเป็น ตัวต่อสำหรับเข้าถึงที่ต่ำ อ่านดูแล้ว งง ก็คือ มันเป็นหัวสำหรับการทำให้มันสามารถเข้าที่ต่ำอย่างเช่น ใต้โซฟาได้ ซึ่งหัวของมันเป็นเหมือนหัวเชื่อมที่มันจะปรับระดับความงอได้ อันนี้ตอน V11 เราไม่เคยมีมาก่อนเลย ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ไม่เคยใช้เลยนะ
หัวต่อไป หัวดูด 2 in 1 อันนี้เป็นหัวที่เราใช้งานบ่อยมาก ๆ มันเป็นหัวที่เราสามารถดึงหัวแปรงเข้าออกได้ ถ้าเราดูดพวกของใหญ่ ๆ หน่อย เราก็กดเพื่อเอาแปรงเก็บเข้าไป หรือถ้าเราต้องการดูดของเล็ก ๆ หรือฝุ่นเลย เราก็แค่ดึงแปรงออกมาแล้วก็ดูดได้เลย ส่วนใหญ่เราจะใช้ดูดพวกฝุ่น หรือเศษต่าง ๆ ตามโต๊ะเลย
หัวต่อไปคือ หัวแปรงดูดฝุ่นฝังแน่น อันนี้เขาบอกว่าใช้ดูดตามพรมที่มีฝุ่นที่มันฝังแน่น ๆ ได้ เช่นตามพรมรถ ใช่ฮ่ะ เราเอามาใช้ดูดรถด้วยนะ มันใช้ง่ายมาก ๆ แต่ถ้าในบ้านเราส่วนใหญ่เราไม่มีพรมอะไรที่ต้องใช้หัวนี้เลย ทำให้หัวนี้ส่วนใหญ่ก็ใช้กับรถ
หัวต่อไป เป็นอีกหัวที่ใช้งานบ่อยมาก ๆ อันนึงคือ แปรงปัดฝุ่นขนนุ่มขนาดเล็ก ลักษณะมันจะเป็นหัวแปรงนิ่ม ๆ เลย ทำให้เราสามารถเอาไปดูดตามพวกพื้นผิวที่มัน ๆ เงา ๆ ได้เช่นพวกขอบทีวีอะไรแบบนั้นเลย แต่อย่าหาทำ ไปดูดที่จอนะ พวกนั้นใช้ผ้าสำหรับเช็ดจอนี่แหละเช็ดเอา
และอันนี้เลยที่เราชอบมาก ๆ เพราะมันเปลี่ยนใน V12 คือหัวดูดเก็บเส้นผม ตัวเก่า มันจะเรียกว่าหัวดูดมอเตอร์อะไรนี่แหละ คือ ที่หัวมันจะมีมอเตอร์เลย สำหรับดูดพวกฝุ่นจากเตียงและโซฟาอะไรแบบนั้น ซึ่งเราก็จะเอามาดูดม่านด้วย แต่ปัญหาที่เราเจอคือ หัวเก่า เวลามันเจอพวกเส้นผม มันจะติดอยู่ที่แปรงของมันเลย ทำให้เราจะต้องแกะ แล้วเอากรรไกรมาเล็ม แต่อันใหม่นี่สิ่งที่มันดีงามคือ มันสามารถที่จะดูดพวกผมเข้าไปได้เลยโดยที่มันไม่ติดกับหัวเลยชอบสุด ๆ
เกือบสุดท้ายคือ มาใหญ่นิดนึง เป็นหัวที่ติดมากับท่อขยายความยาว คือ หัวสีม่วง ๆ กึ่งใส เป็นหัวปากดูดในที่แคบ สำหรับเข้าซอกโดยเฉพาะเลย ความดีงามอีกอย่างของมันในรุ่นนี้คือ มันเป็นหัวปากที่มีไฟในตัวด้วย เหมือนกับรุ่นเก่า ๆ ก่อน V11 เลย
เวลาเราเอามันเข้าไปในซอกเล็ก ๆ มืด ๆ การมีไฟ เราจะได้เห็นง่าย ๆ ว่าตรงไหนเราต้องสอดเข้าไปดูดได้ ดีมาก ๆ
ไหน ๆ พูดถึงท่อแล้ว อันนี้เป็นท่อต่อสำหรับขยายความยาว โดยที่ใน V12 นี้จะมาพร้อมกับต่อสีออกทอง ๆ หน่อย เงา ๆ ด้วยนะ ตอน V11 เราได้มาเป็นสีน้ำเงินด้าน เราว่าพอมันเงา มันแอบดูแลยากไปหน่อยเหมือนกัน ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ กับ ถ้าใครใช้ V11 Absolute อยู่ เมื่อก่อนมันจะมีสติ๊กเกอร์แปะไว้ว่า ชั้นเป็น V11 Absolute นะอะไรแบบนั้น ตอนนี้ไม่มีแล้วนะ เป็นแบบเรียบ ๆ เลย
หัวอีกอันที่ได้มาคือ หัวดูดทำความสะอาด Direct drive เป็นหัวที่ตอน V11 หลาย ๆ คนฮื่อฮ่ามาก เพราะมันเป็นหัวที่มีมอเตอร์ในตัว และยังสามารถที่จะปรับแรงจาก Load Sensor ที่อยู่ในเครื่องได้ โดยมันจะเป็นหัวสำหรับการทำความสะอาดบนพื้นที่ที่ต้องการความสะอาดมาก ๆ โดยเฉพาะเลย นอกจากนั้น มันยังเพิ่มส่วนของการป้องกันเส้นผม และ ขน เข้าไปติดที่แปรงอีกด้วย ประทับใจตรงนี้แหละ
และหัวสุดท้าย ที่เป็น Highlight ของ V12 เลยคือหัว Slim Fluffy ที่เป็นแปรงขนนุ่ม ๆ สำหรับกลิ้งเพื่อดูดฝุ่นบนพื้นของเรา ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบหัวนี้ตอนใช้ V11 เท่าไหร่ เพราะพวกขนนุ่ม ๆ มันชอบเก็บฝุ่น หรือเราเผลอไปดูดพวกของเหลว มันก็จะทำให้ฝุ่นไปติดกับแปรงอีก แต่มันนุ่ม ๆ เหมาะสำหรับพื้นที่ทั่ว ๆ ไปแหละ
แต่ความพิเศษในรุ่น V12 อยู่ที่ Switch ด้านบนของมันเลย คือ Switch สำหรับเปิดแสงจากหลอด LED โดยที่เมื่อเราแกะกล่องออกมา มันจะเลื่อนไปอยู่ที่ตำแหน่งเปิดให้เราเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเราใช้หัวนี้ และเปิด มันจะมีไฟ LED สีเขียวส่องออกมาจากหัว ที่ Dyson มีการคิดเรื่ององศา และตำแหน่งมาแล้ว ทำให้เราเห็นฝุ่นได้ด้วย เดี๋ยวตอนใช้งานจริง เรามาดูกันว่ามันเป็นอย่างไร
สำหรับหัว ก็หมดแล้ว เราเปิดกล่องอีกกล่องหนึ่ง ก็จะเจอกับ Adapter ทั้งหมด 2 อันด้วยกันสำหรับใช้กับ Wall-Mount และ แท่นวางบนพื้น โดยที่มันจะเหมือนกันเลยนะ เราสามารถใช้สลับกันได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราไม่ได้ซื้อรุ่นที่มี แท่นวางบนพื้น มันก็จะมาพร้อมกับ Adapter เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น
นอกจากนั้น ก็จะมีส่วนหัวของแท่นวางบนพื้น ที่เราจะต้องเสียบเข้ากับเสาของมัน
และสุดท้าย ก็จะเป็นที่ตั้งเครื่องแบบ Wall-Mount ตัวนี้ มันจะมีมาพร้อมกับ V12 ทุกรุ่นเลย
ของที่มาในกล่อง ก็จะมีประมาณนี้เลย บอกเลยว่า เยอะมาก ๆ ขนาดเราว่าเราแกะของเร็วแล้วนะ เรายังใช้เวลาในการเอาของออกจากกล่องนานมาก ๆ เลย จำนวนชิ้นเล็กชิ้นน้อยมันเยอะมาก ๆ เรียกได้ว่า งง มากว่า เอ๊ะนี่ซื้อเครื่องดูดฝุ่นหรืออะไร ทำไมมันเยอะได้ขนาดนี้
Dyson V12 Detect Slim
เรามาดูที่หน้าตาของเจ้า Dyson V12 Detect Slim กันดีกว่า ถ้าใครที่คุ้นเคยกับเครื่องดูดฝุ่น Dyson อยู่แล้ว เช่นเราเองที่ขยับจาก V11 ขึ้นมา วิธีการใช้งาน และหน้าตาของมันจะเหมือนเดิมเลย โดยที่เราแทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ตัว Body ของมันในรอบนี้ก็จะมาพร้อมกับสีเทาแบบปกติ แต่ตัดกับสีออกทอง ๆ หน่อย มันก็จะไปล้อกับสีของท่อขยายเลย
อีกความดีงามของ Dyson V12 Detect Silm และเครื่องดูดฝุ่น Dyson รุ่นใหม่ ๆ คือ การใช้ปุ่มเปิดที่เป็นปุ่มปกติละ เราว่าเรื่องนี้ Dyson ฟังเสียงลูกค้าเดิมที่เมื่อก่อนมันเป็นเหมือนไกปืน พอกดมันก็เริ่มดูด ปล่อยมันก็หยุด แต่เมื่อเราใช้ไปนาน ๆ ปุ่มที่เราใช้บ่อย ๆ มันก็จะสึกแล้วบางที กดแล้วไม่ติดบ้างอะไรบ้าง ทำให้ Dyson ก็ Back to the basic ทำปุ่มกดแล้วเปิดค้างไว้เลย เสร็จกดปิดอีกทีเป็นอันจบ สิ่งที่ดีคือมันไม่ใช่แค่เรื่องของความทนทาน แต่มันทำให้วิธีการจับมันเปลี่ยน จากเดิมที่เราต้องเอานิ้วคาไว้ที่ Switch อันนี้เราก็กำได้แน่น ๆ เลย ทำให้ลดความล้าไปได้พอตัว
ด้านหน้าที่เป็นช่องสำหรับเก็บฝุ่น เรียกได้ว่ามีขนาดที่อาจจะเล็กกว่า V11 เล็กน้อย แต่ก็ใช้งานได้ง่ายเหมือนเดิม เพียงหันเครื่องลงถังขยะ ดันสลักสีแดง แล้วฝามันก็จะเปิด และดันฝุ่นลงไปในถึงขยะโดยที่เราไม่ต้องจับหรือปัดอะไรเลย
ด้านล่าง ก็จะเป็นส่วนของ Battery ละ โดยที่ด้านข้างหน้าของมัน เราจะเห็นรูกลม ๆ อันนั้นเป็นรูสำหรับเสียบสายชาร์จเข้าไป และปุ่มสีแดงด้านล่างเป็นอะไรที่เรา Impress มาก ๆ เพราะในที่สุด Dyson ก็ฟังเสียงลูกค้า คือปุ่มสำหรับ Swap Battery คือ เรากดค้าง แล้วดึง Battery ออก อาจจะเอาไปชาร์จ แล้วเรามีอีกลูก เราก็เสียบเข้าไป เท่านี้เราก็พร้อมดูดต่อได้เลย จริง ๆ มีตั้งแต่ V11 Minor Change แล้วละ แต่ V11 เรามันรุ่นแรกเลยไม่เคยใช้อะไรแบบนี้เลย ตื่นเต้นเลย ชอบมาก ๆ
และสุดท้าย ด้านหลังของตัวเครื่องบริเวณที่เป็นฝาสีม่วงกึ่งใส มันเป็นส่วนของ HEPA Filter ที่จะคอยกรองฝุ่นจากอากาศเพื่อไม่ให้มันฟุ้งอยู่ในห้องของเราหลังจากดูด อันนี้เป็นความดีงามของ Dyson คือ เราไม่ต้องไปซื้อใหม่อะไรบ่อย ๆ เราแค่หมุน แล้วถอดออกมา ผ่านน้ำเปล่าได้เลย แล้วตากทิ้งไว้จนแห้ง Dyson แนะนำว่า ตั้งทิ้งไว้เลย 24 ชั่วโมง แล้วก็ใส่หมุนกลับ เราก็พร้อมดูดต่อได้แล้ว
อีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ สำหรับการใช้เครื่องดูดฝุ่นไร้สายคือ น้ำหนัก ถ้ามันหนักเกินไป เราดูด ๆ ไปแขนล้าแน่นอน ใน V12 เป็นอีกเรื่องที่ Dyson พัฒนาต่อคือการลดน้ำหนักของตัวเครื่องลง จากเดิมที่ V11 มันมีน้ำหนักทั้งหมด 3 kg ซึ่งขนาดเราเป็นผู้ชายยกดูดทั้งบ้าน ยังเมื่อยเลย แต่มาใน V12 กลายเป็นลดเหลือ 2.2 kg เท่านั้น หรือหายไป 800g เลย ถามว่ารู้สึกมั้ย บอกเลยว่า รู้สึก มันต่างกันเยอะมาก ๆ จนน่าตกใจเลย คิดว่าถ้าไปถือตัว Micro 1.5kg น่าจะตกใจกว่านี้แน่นอน
หลาย ๆ คนที่อัพเกรดจากรุ่นก่อน อย่างเรามาจาก V11 ที่มีพวก Wall-Mount อยู่แล้ว เราจำเป็นที่จะต้องเอาของเก่าออกแล้วเจาะผนังใหม่มั้ย อันนี้เราพิสูจน์ให้ดูแล้วคือเราเอา Battery ของ V12 มาเสียบกับ Wall-Mount ของ V11 ก็ใช้งานได้นะ เสียบเข้าปกติเลย
V12 Detect Slim เพราะมัน Detect ฝุ่นได้จริง ๆ ไงละ
ความเจ๋งของ Dyson V12 และ V15 (ที่ไม่เอาเข้ามาขายในไทยสักที ณ วันที่เขียน) คือ มันมีความสามารถในการ Detect หรือตรวจจับพวกอนุภาคต่าง ๆ ได้ด้วย จากรุ่นก่อนอย่าง V11 มี Load Sensor ติดอยู่ที่หัวดูด เพื่อดูแรงดูด แล้วปรับแรงดูดตามพื้นผิวอัตโนมัติ มาใน V12 นี้ Dyson พาการตรวจจับไปอีกขั้นด้วยการใส่ Piezo Sensor หรือถ้าภาษาไทย เราจะเรียกว่า เซนเซอร์วัดแรงสั่นสะเทือนมาติดอยู่บริเวณที่อากาศถูกดูดเข้ามา ผนวกกับ Signel Processor ของ Dyson เอง ทำให้เครื่องสามารถอ่านปริมาณฝุ่น ที่ผ่านเข้าไปในเครื่องได้แบบ Real-Time เลย โดยมันจะแสดงอยู่ที่หน้าจอ ตั้งแต่ฝุ่นขนาด 10 - 500 Micron เลย นอกจากนั้น ถ้ามันเจอว่า ฝุ่นที่เราดูดเข้ามามันเยอะมาก ๆ มันก็จะปรับความแรงของการดูดโดยอัตโนมัติ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า พื้น หรือวัตถุที่เราดูดไป มันจะสะอาด
นอกจากนั้น หัวที่เรียกได้ว่าเป็น Highlight เลย คือหัว Slim Fluffy หรือที่ในรุ่น V12 เราจะเรียกว่า Laser Slim Fluffy อย่างที่เราเล่าไปแล้วว่ามันจะปล่อยแสงสีเขียวออกมา ถามว่ามันทำได้ยังไง จริง ๆ แล้วปรากฏการณ์นี้ เราก็เห็นอยู่ตลอดนะ ตอนที่เราเห็นว่าฝุ่นมันเกาะอยู่ตามพื้นผิวต่าง ๆ มันเกิดจากแสง เจอกับฝุ่น แล้วสะท้อน ทำให้เราเห็นฝุ่น พอมันเล็กมาก ๆ บางทีเราจะเห็นได้ยากแหละ ทำให้องศาของแหล่งกำเนิดแสงเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ซึ่ง Dyson เองก็คิดเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี เขาเลือกที่จะใส่หลอด LED มาในองศาที่พอดีทำให้เราเห็นฝุ่นได้เยอะมาก ๆ จนน่าตกใจเลย
Piezo Sensor ผนวกเข้ากับ Laser ที่ยิงหาฝุ่น มันทำให้เราสามารถทำความสะอาดบ้านของเราได้แบบมั่นใจได้ว่า มันสะอาดไม่มีฝุ่นจริง ๆ จาก Piezo Sensor ที่อ่านค่าฝุ่นที่ผ่าน และ LED สีเขียวที่ทำให้เราเห็นฝุ่นจริง ๆ เป็นเทคโนโลยี ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะ แต่ถ้าถามเรา เรามองว่า มันเป็นอะไรที่ใช้ได้จริง ดูเหมือนจะเป็น Gimmick แต่พอมาใช้จริง ๆ เลยเข้าใจ Pain ว่าทำไมต้องออกแบบเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา
การใช้งานจริง
ในแง่ของการใช้งาน ต้องยอมรับเลยว่า Dyson ทำเครื่องดูดฝุ่นได้ดีมาก ๆ เครื่องแรกที่เราใช้ V11 พบว่า มันเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ซื้อแล้ว จบ จริง ๆ คือ อุปกรณ์เสริมที่มาในกล่องมันสามารถทำความสะอาดได้ทุกส่วนของบ้านจริง ๆ โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อพวกอุปกรณ์เสริมเพิ่มเลย จ่ายเจ็บ แต่จบจริง ๆ บวกกับตัวเครื่องที่ไม่ก๋องแก๊งเลย จับแล้วแน่น มั่นคง สมกับความเป็น Dyson มาก ๆ
มาใน V12 Dyson ก็ยังคงรักษาคุณภาพตรงนี้ได้ดีมาก ๆ ที่ ยังคงความเจ็บแต่จบอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมจาก V11 คือ น้ำหนักที่เบาลง ทำให้ลดความเมื่อยล้าในการใช้งานได้ โดยเฉพาะตอนที่เราดูดผ้าม่านที่มันจะต้องยกขึ้นไปดูดบนผ้าม่านสูง ๆ ทำให้เมื่อยมาก ๆ เลยละ พอมันเบาขึ้น ช่วยได้เยอะมาก ๆ อันนี้ประทับใจ
ส่วนแรงดูดที่ลดลงจาก V11 ถามว่า มันทำให้เราเดือดร้อนอะไรมั้ย เรามองว่า ไม่นะ เพราะบ้านเราไม่ได้เลี้ยงสัตว์หรือมีพวกฝุ่นฝังแน่นอะไร เป็นบ้านที่ทำความสะอาดบ่อย ๆ เลยไม่มีปัญหาอะไรเลย กับ ขนาดของถังเก็บฝุ่นที่เล็กลงจาก V11 ก็ไม่มีปัญหาอะไรจากเหตุผลเดียวกัน
แต่เรามองว่า บ้านใครที่เลี้ยงสัตว์เช่น แมว และ สุนัขที่ขนยาวหน่อย เรื่องขนาดถังเก็บฝุ่นเราว่า น่าจะไม่โอเคเท่าไหร่ เพราะต้องเข้าใจว่า พวกขนสัตว์เลี้ยงมันฟูนะเธอออ ทำให้มันเต็มเร็วมาก ๆ เราไม่แน่ใจว่าบ้านขนาด 2 ชั้นปกติ ถ้าเป็น V12 แล้วเจอแมวสัก 2 ตัวมันจะว่ายังไง อาจจะดูดได้ชั้นนึง แล้วก็เอาไปทิ้งทีแหละ เพราะขนมันเยอะจริง ฮ่า ๆ
สรุป
ภาพที่เรามองตอนงานเปิดตัว V15 และ V12 ที่ออกมาว่ามันมี Sensor สำหรับการ Detect ฝุ่น ตอนนั้นเรามองว่ามันเป็น Gimmick ของ Dyson จริง ๆ แบบว่า เห้ย Motor ใหม่มันไม่ว้าวเลยต้องออกอะไรแบบนี้มาเหรอ ถามว่าคนทั่ว ๆ ไปสนมั้ย เอาจริง ๆ ก็ไม่นะ เราว่าแม่บ้าน อะไรก็ไม่แคร์ป่ะว่า เครื่องมันจะอ่านฝุ่นได้เท่าไหร่ หรือเอาจริง ๆ คนบ้าน ๆ เลย อยู่บ้านนี่แหละ ใช้ ๆ ไป ดูด ๆ อยู่แล้วบอก เธอ ๆ นี่ดูสิ ฝุ่นมันเข้ามาเยอะมาก ๆ เลย เห้ย คนส่วนใหญ่ไม่ใช่แบบนั้นไง ฮ่า ๆ แต่พอมาใช้เข้าจริงแล้วเราก็ยังแอบคิดว่าเป็น Gimmick นะ แต่มันทำให้การทำความสะอาดบ้านมันสนุกขึ้นไปอีกนะ สนุกกับการไปหาฝุ่นทำให้เครื่องมันขึ้นนี่แหละ สุดท้าย เราก็จะขยันทำความสะอาดบ้านบ่อย ๆ แหละมั้งนะ ส่วนถามว่า มันทำให้บ้านสะอาดขึ้นเพราะการปรับแรงดูดเองมั้ย เราก็มองว่า เฉย ๆ เพราะสุดท้าย เราก็ดูดมันซ้ำ ๆ อยู่ดี ก็เฉย ๆ ละกัน
สำหรับใครที่ใช้ V11 อยู่แล้ว และต้องการ Upgrade ไป V12 เราจะบอกว่า เก็บเงินไว้รอ V15 มาดีกว่าที่แรงดูดสูงกว่า V11 และมี Feature Detect ฝุ่นเหมือนกัน น่าจะตอบโจทย์กว่าเยอะมาก ๆ แต่ถ้าใครที่กำลังมองหาเครื่องดูดฝุ่นในบ้าน เราจะบอกว่า Dyson เป็นยี่ห้อที่ตอบโจทย์การใช้งานในบ้านแทบจะทุกแบบเลย ด้วยหัวดูดที่ครบมาก ๆ รวมไปถึงเอาไปดูดรถด้วยยังได้เลย ซื้อเครื่องเดียวคุ้ม ๆ จบ ๆ จ่ายแพงหน่อย