รีวิวต่อ Devialet Phantom แบบเบิ้ม ๆ Stereo เสียงที่เปลี่ยน
คำว่า มันเรียกเพื่อนมา สำหรับวงการลำโพง เราว่ามันไม่น่าจะเกินจริงเท่าไหร่ เมื่อเดือนสิงหาปีก่อน เรารีวิว Devialet Phantom II 95 dB ไป กลับไปอ่านได้ที่ รีวิวนี้ ก็คุยกับเพื่อนนะว่า มันต้องเรียกเพื่อนมาแน่ ๆ แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ จนเดือน 1 ของปีต่อไป โดนแล้วค่า เกือบ 5 เดือน เกมเฉย กับการไปกด ตัวเดิมมาเพิ่ม เพื่อมาทำ Stereo Pair กับรอบนี้ซื้อ Remote มาด้วย วันนี้เลยจะมารีวิวว่า การเพิ่มลำโพง เพื่อทำ Stereo Pair มันทำให้เสียงมันเปลี่ยนดีขึ้นยังไงบ้าง
ปล. บอกเลยว่า แมร่ง คน ละ โลก เลย โหด สัส รัสเซีย มาก
Setting Up
การ Setup Devialet Phantom 2 ตัวเพื่อทำ Stereo Pair สำหรับเราที่ไม่ได้เชียวชาญเรื่องระบบเสียงอะไร ถือว่าทำได้ง่ายมาก ๆ อาจจะเพราะมันเป็นลำโพงในยุคใหม่ละ ที่มันคุยกันเองได้หมดเลย
เราสามารถทำผ่าน App Devialet ได้เลย ทำแล้วถามว่า มีปัญหามั้ย บอกเลยว่า มี เพราะในตอนแรก เราทำตามขั้นตอนที่ Devialet บอกหมดแล้ว ปรากฏว่า เราต่อลำโพงลูกที่ 2 เข้า Network บ้านได้แล้ว แต่เราไม่สามารถสร้าง Stereo Pair ได้เลย พยายาม กด Pair Stereo ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง งง ๆ
และยังเจอปัญหาว่า เมื่อ Pair ไปแล้ว ลำโพง ข้างใดข้างหนึ่งมักจะหายไปจากระบบเสมอ ๆ และเราใช้สาย AUX 3.5mm ในการเชื่อมต่อไปที่ลำโพงลูกแรก แต่กลายเป็นว่า ลำโพงลูกนั้นมันหายไปจากระบบเฉยเลย เลยทำให้เราส่งเสียงออกมาไม่ได้เลย
เลยคิดว่า หรือเป็นเพราะ Firmware Version ก็เลย Update Firmware เป็น Version ล่าสุดแล้วทดลอง Pair ใหม่ปรากฏว่า เย้ ได้แล้ว สงสัยที่มัน Pair กันไม่ผ่าน เป็นเพราะ Firmware Version แน่นอน
แต่.... ปัญหาเดิมก็ยังคงอยู่คือ อยู่ ๆ ลำโพงสักข้างจะหายไป แล้วอยู่ ๆ มันก็กลับมา แบบ งง ๆ หรือถ้าเล่นได้ ข้างที่เราไม่ได้เสียบสาย AUX จะมีอาการขาด ๆ บ้างอะไรแบบนั้น แน่นอนว่า จ่ายเงินรวมกัน 2 ลูกแสนนึง เราว่า อาการนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เลยเริ่มเช็คให้ละเอียดขึ้นไปอีก
Investigating Problem
จากปัญหานี้ เราเริ่มเดาว่า น่าจะเกิดจากวิธีการที่ลำโพง 2 ตัวคุยกันมากกว่า เพราะ มันเจอปัญหาเสียงขาด ๆ หาย ๆ ในข้างที่เราไม่ได้เสียบสาย เลยเริ่มไปนั่งอ่านว่า โอเคมันคุยกันยังไง
ถ้าเราเข้าไปดูใน App มันจะมีให้เราเลือกว่า เราจะเชื่อมต่อด้วยวิธีการอะไร ในนั้นมันจะมีให้เราเลือกอยู่ 2 วิธีคือ WiFi และ PLC (Power Line Communication) ซึ่งใน App มันเลือกเป็น Auto ไว้ เดาว่า มันเห็นว่าทางไหนดีกว่า มันจะเลือกทางนั้น แต่เราก็ยัง งง ๆ ว่า อันนี้มันคือการเลือกวิธีเชื่อมต่อกับลำโพงอีกตัวใช่มั้ย หรือมันคือวิธีการออกเน็ตของลำโพงยังไง งง มาก เท่าที่เราไปอ่านมาจาก Forum คือ มันสำหรับว่า เราเสียบลำโพงทั้งหมดเข้ากับ Power Bar ตัวเดียวกัน แล้วมันจะคุยผ่านสายไฟได้ ก็พอจะเข้าใจได้ PLC มันเกิดขึ้นมานานแล้ว เราก็ใช้กันเยอะพอตัวเหมือนกัน แต่เราว่า อื้มมม มันไม่โอเคเท่าไหร่ แต่ดีกว่า WiFi แน่ ๆ
จากการที่เราเข้าไปเช็คใน WiFi Controller เราก็คือ เห็นเลยว่า ลำโพงทั้ง 2 ลูก มันคุยกันผ่าน WiFi แทบจะตลอดเลย เราไม่เคยเห็นตอนไหนเลยที่เปิดเสียงออกลำโพงแล้ว WiFi มันไม่วิ่ง เลยคิดว่า หรือเพราะ Power Bar เรามันอะไรยังไงมั้งเลยทำให้วิธีการนี้ใช้แล้วไม่ Works มันเลยเลือก WiFi แทน
ประกอบกับ WiFi เราเคยเล่าไปแล้วว่าเวลามันคุย มันจะคุยได้แค่ทีละอุปกรณ์เท่านั้น ทำให้ถ้าเจออุปกรณ์ที่ต้องอาศัยความ Real-time สูงมาก ๆ อย่างลำโพงคุยกัน เพื่อส่งเสียงอีกข้างไปนี่ หนักแน่นอน ไม่ใช่แค่ประสบการณ์การใช้งาน WiFi เราจะไม่ดี แต่มันทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต่อเข้ากับ Access Point หนักแน่นอน
Solution
การแก้ไขง่ายมาก ๆ คือ ที่หลังของ Devialet Phantom II จะมีช่องเสียบ Ethernet หรือสายแลนให้เราอยู่ มันทำให้ลำโพงคุยกันผ่านสายแลนได้เลย ไม่ต้องผ่าน WiFi แต่ Ethernet Port เรามีช่องเดียว แล้วเราเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ไปแล้วด้วย เลยทำให้ต้องแก้ปัญหาหน่อยละ
ง่ายมาก ๆ คือ เราก็ไปซื้อ Network Switch ตัวนึงไม่แพงมาก เราซื้อเป็น Unmanaged Gigabit Switch ไปเลย ตัวที่เราเลือกคือ TP-Link TL-SG1005P มีทั้งหมด 5 Port ให้เราเสียบด้วยกัน ตัวนึงไม่ถึงพันบาท ซึ่งพอเพียงต่อการใช้งานแน่นอน ความเร็วสูงสุด 1 Gbps ก็เพียงพอแล้ว กับเราเลือกมาเป็น รุ่นที่สำหรับ Business ด้วย มันจะได้ตัว Body เป็นโลหะ มันได้เรื่องของการระบายความร้อน และ ความคงทน การเอามาต่อลำโพง คือ ข้อมูลมันต้องวิ่งตลอดเวลา และอยู่นาน เลยอยากได้อะไรที่ไม่ร้อน ทน และ กินไฟน้อยที่สุด เลยได้ออกมาเป็นตัวนี้
ข้อดีของการเสียบ Switch แยกออกมาเพิ่มคือ พวก Traffic ของลำโพงที่มันเน้นส่งตลอดเวลา มันจะไม่ต้องไปเพิ่มภาระให้กับพวก Core Switch ที่เป็น Managed Switch ที่อยู่ในบ้านเรา มันก็วิ่งกันอยู่ในแค่ Switch ลูกเล็ก กับข้อมูลเมื่อเรา Stream เพลงเข้าไป กับคอมพิวเตอร์ของเรามันก็ไม่ได้กินเยอะเท่าไหร่อยู่แล้ว 1 Gbps คือเหลือ ๆ เลยละ ชิว ๆ
ผลที่ได้คือ ตัวลำโพงที่อยู่ ๆ ชอบหายไปจากระบบ ก็ไม่เจออาการนั้นแล้ว เสียงที่ Delay บ้างขาด ๆ บ้างก็หายไปเลย เรียกว่าใช้งานได้แบบปกติดีเยี่ยมเลย
ดังนั้น ถ้าเราจะใช้งานในแบบ Stereo เราแนะนำว่า ให้เราเชื่อมต่อ Ethernet เข้ากับระบบของบ้านดีกว่า อย่าไปใช้ไร้สายเลย มันมี Factor หลาย ๆ อย่างที่ทำให้มันเสียคุณภาพ และ สะดุดได้ การที่เราจ่ายเงินขนาดนี้ เราหวังว่ามันจะทำงานได้แบบไม่มีปัญหา การทำแบบนี้แหละยุ่งหน่อย แต่โอเคเลย
คุณภาพเสียง
อย่างที่เรารีวิวไปในรีวิวก่อนหน้าแล้วว่าคุณภาพเสียงมันไม่ต้องกังขาเลย เรียกว่า เดือด ๆ โหด ๆ เลย จากเดิมที่เราบอกว่า ความละเอียดสูงมาก ๆ เมื่อเราต่อเป็น Stereo อย่างแรกที่เรารู้สึกได้เลยคือ รายละเอียดมันมากขึ้นไปอีก จนเพลงบางเพลง เราสงสัยว่า เอ๊ะมันมีตรงนี้ด้วยเหรอ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เท่าที่เราคุยกับเพื่อนมา บอกว่า มันไม่น่าแปลก เพราะการที่ลำโพงต่อเป็น Stereo มันจะแบ่งการทำงานกันว่าย่านนี้ ลำโพงนี้ขับนะด้วย ทำให้ลำโพงมันให้รายละเอียดที่สูงขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ
เช่นเพลงที่เราใช้รีวิวก่อนหน้าอย่าง We are young ของ Fun. ตอนนั้น เสียง Percussion ที่เราเคยคิดว่า มันละเอียดมาก ๆ แล้ว มันไปอีกขั้นนึงเลย ได้ยินยันเหมือนกับ พอเราตีพวก Percussion หนังมันจะสั่นไปอีกนิดหน่อย มันได้ยินได้ละเอียดมาก ๆ แบบ ห้ะ อะไรวะ
หรืออีกเพลงในยุคเดียวกันที่เราชอบคือ Tightrope ของ Janelle Monae ฟังแล้วรู้สึกว่า เป็นเพลงที่เล่นยากมาก ๆ เพราะช่วงเบสมันมักจะกินช่วงไปหมดเลย ทำให้รายละเอียดของเสียงร้อง กับเครื่องดนตรีอื่น ๆ มันหายไปหมดเลย แต่อันนี้มันกลับมา พวก Saxophone บางท่อน มันชัด มันโดดมา ทำให้ดนตรีมันสนุกมากขึ้น
แต่ถ้าอันที่ฟังแล้ว Mind Blown เลยคือ Original Soundtrack จากเรื่อง Inception แน่นอนว่า หนังเรื่องนี้ได้ เทพ ด้านการทำเพลงอย่าง Hans Zimmer คิดเหรอว่ามันจะไม่รอด บอกเลยว่า เป็นตัวที่ฉายความ โหดดดดด ให้กับลำโพงชุดนี้แบบสุด ๆ กับ Track ที่ชื่อว่า Dream is collapsing เครื่องดนตรีระดับวงใหญ่ มันโหดอยู่แล้ว มันมีช่วงเสียงหลายช่วงที่เข้ามาเล่นด้วยกัน ประสานกัน ซึ่ง Phantom คู่นี้ แยกออกมาได้ดีกว่าตอนแรกเยอะมาก ๆ เสียงของพวก Percussion ที่เก็บเบา ๆ อยู่ข้างหลัง เราก็ยังได้ยิน พวกเครื่องสาย กับ เครื่องเป่าทองเหลืองที่ทำหน้าที่เป็นตัวบิ้วท์ ก็ทำได้ดี ถึงใจมาก ๆ เอาจริง ๆ เลยคือ แอบรู้สึกดีกว่านั่งดูในพวก Home Theatre บางตัวอีกนะ เพราะการแยกชิ้นเครื่องดนตรี และ Sound Stage ที่กว้างถึงใจเลยแหละ
หรือไปที่ เพลงเดิมจาก Pink Floyd คือ Money เลย ในท่อนแรก ที่เป็นเสียง Effect ของพวกเหรียญ และ แบงค์ทั้งหลาย เขาเล่นเป็น Stereo อยู่แล้ว ก่อนหน้านั้น ถ้าเราต่อ Mono มันก็ไม่รู้สึกหรอก แต่พอต่อ Stereo เข้าไปคือ อีเ_ยยยยย Another world ของจริง
เราลองเอาไปทำอะไรสนุก ๆ ด้วยการเอามานั่งดูหนังดีกว่า เพราะ Devialet โฆษณาว่ามันเอาไปต่อกับทีวีดูหนังได้ เอาไปนั่งดู Westworld ที่ไฟล์เป็นเสียงแบบ TrueHD 7.1 Dolby Atmos แน่นอนว่า มันเล่น Atmos ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ได้เรื่องที่เป็น TrueHD คือพวก Lossless File ซึ่งคุณภาพสูงมาก ๆ แน่นอนว่า ลำโพงถ่ายทอดรายละเอียดเสียงได้ดีมาก ๆ เสียงพวกของเล็ก ๆ บางอย่างที่เราเคยไม่ได้ยิน เราได้ยินมันเล็ก ๆ คือ มันแปลกมาก ๆ แต่แน่นอนว่า มันไม่ได้ออกแบบมาให้เราดูหนังขนาดนั้น ขาดพวกลำโพง Surround ทำให้ เรื่องการบอกทิศ มันก็ทำได้แค่ซ้ายและขวาเท่านั้น เรื่องการโอบล้อม ก็ได้แค่เท่าที่ Stereo จะให้ได้แหละ ดังนั้น ถ้าใครที่อยากซื้อมาต่อทีวีดูหนังแบบที่ Devialet โฆษณาเอาไว้ก็ข้ามไปเนอะ แพงไป ไปเอา Devialet Dione ที่เป็น Soundbar ดูหนังจริง ๆ ดีกว่าเยอะราคาพอ ๆ กันเลย อย่าใช้ของผิดประเภท ถถถ
โดยรวมของเรื่องเสียง เราว่ามันดีขึ้นมาแบบก้าวกระโดดมาก ๆ โดยเฉพาะเรื่องรายละเอียดของเสียง อันนี้ตกใจมาก ๆ กับ Sound Stage คือดีขึ้นแบบเหลือเชื่อมาก ๆ ซึ่งโอเค มันอาจจะเป็นเรื่องปกติของ การเปลี่ยนจาก Mono เป็น Stereo แต่มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ทำให้เรามองว่า ความคุ้มค่าในการกดมาเพื่อทำ Stereo Pair มันคุ้มมาก ๆ น่าเอามาทำ ทำให้เราได้ฟังเพลงที่เรียกว่า Full Potential ของลำโพงตัวนี้เลยก็ว่าได้ นี่ขนาด Phantom II ไม่มี Tweeter นะ ยังได้ขนาดนี้ ถ้าเอา Phantom I มาต่อ เราว่าเจอเพลงของ Whitney Houston คือ ทะลุโลกไปเลย
สรุป
Stereo Pair บน Phantom Speaker ทำให้เราได้ปลดล๊อคความสามารถของลำโพงไปอีกขั้นด้วยการเอาลำโพงรุ่นเดียวกันมาต่อเพื่อส่งเสียงแบบ Stereo ซึ่งผลที่ได้ก็คือ สร้างความแตกต่างได้แบบ เหนือความคาดหมายไปไกลมาก ตอนที่ลองเรียกว่า Mind Blown ไปเลย มันดีมากจริง ๆ ทำให้เราค่อนข้างแนะนำเลยว่า ถ้างบถึง ต้องโดนจริง ๆ มันน่าโดนมาก แล้วจะนั่งฟังเพลงได้ทั้งคืนแบบไม่เบื่อเลยจริง ๆ