รีวิว Apple TV 4K 3rd Gen ออกชาตินี้ ขายชาติหน้าตอนเย็น ๆ
เรียกว่ารอคอยกันมาอย่างยาวนาน นั่งมองฝั่งอเมริกาตาปริบ ๆ กับ Apple TV 4K 3rd Generation ออกรีวิว จนใช้กันหมดละ แต่ในที่สุดการรอคอยนี้ก็สิ้นสุดสักที เพราะ Apple ประเทศไทยเอามาขายแล้วค่าาาาาาาาา สักทีนะอี🌼
Apple TV Generation นี้มีรุ่นไหนบ้าง
Apple TV Generation นี้ เราว่าเลือกซื้อกันได้ง่าย ๆ เลย เขามี 2 รุ่นออกมาให้เราตามราคาจะเริ่มต้นที่ 5,290 บาท สำหรับรุ่น WiFi พร้อมกับความจุ 64 GB และ อีกรุ่นคือ WiFi + Ethernet พร้อมความจุ 128GB ราคา 5,990 บาท กับทั้งสองรุ่น เราสามารถซื้อ AppleCare+ ได้ในราคา 990 บาท ถ้าใครไม่ได้เอาไปไหนอยู่แล้วก็ไม่ต้องเพิ่มก็ได้
ถ้าถามเรา เรามองว่า ไหน ๆ ส่วนต่างมันอยู่ที่ 700 บาทเอง ถ้าจะเล่นจริง ๆ ไปเอารุ่น WiFi + Ethernet เลยดีกว่า เพราะนอกจากจะเพิ่มความจุ ทำให้เราลง App หรือ Game ได้มากกว่าแล้ว มันยังเพิ่มตัวเลือกในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย โดยเฉพาะถ้าใครวางแผนว่าจะทำ Smart Home บน Apple Ecosystem การมี Ethernet คือ ทำให้ชีวิตดีขึ้นเยอะมาก ๆ ก่อนหน้านี้เคยเอา Apple TV แล้วต่อ WiFi มาทำ Home Hub ก็คือได้ Notification เด้ง ๆ ทั้งวัน เดี๋ยว Home Hub Disconnected เดี๋ยวกับกลับมา งง ไปหมด
แกะกล่อง
ตัวกล่องของ Apple TV ใน Generation นี้ต้องบอกเลยนะว่า Apple งก เห้ย รักษ์โลกมากขึ้น โดยการลดขนาด Packaging จากเดิมขนาดความกว้างมันจะมากกว่านี้ ตัว Remote มันจะอยู่ข้าง ๆ อันนี้ลดขนาดกล่อง เลยต้องเอา Remote มาวางไว้ด้านหน้าของตัว Apple TV เออ ดี ๆ
ด้านข้างกล่องจะมีการเขียนไว้ด้วยว่า Apple TV 4K และสำหรับรุ่นที่เราจะเอามารีวิวในวันนี้จะเป็น WiFi + Ethernet เขาเลยมีการเขียนระบุไว้ให้ด้วย จากรุ่นก่อนที่ไม่มี Variance พวกนี้เลยไม่มีเขียน
ใต้กล่องก็จะเขียนพวก รายละเอียดต่าง ๆ ในตัวนี้ มันก็จะบอกเลยว่า มันมาพร้อมกับความจุ 128GB มี WiFi และ Ethernet
ด้านหลังก็จะเป็นการบรรยายสรรคุณต่าง ๆ แต่เอาเถอะ อีกสุดที่น่าสนใจคือ รอบนี้ Apple ทำกล่องได้ดีขึ้นอีกแล้ว จากเดิม Apple TV รุ่นก่อน เขาจะ Wrap Plastics มาแล้วการเปิดกล่องเราก็ดึงกล่องเหมือนกล่อง iPhone เมื่อก่อน รอบนี้ปรับมาใช้กลไกเหมือน Product อื่น ๆ แล้วคือ เป็นการดึงแถบกาวแทน ซึ่งอันนี้ ก็ให้เราดึงทั้งหมด 2 อันบนล่าง
อย่างที่เราบอกทุกครั้งเลย ว่าเราชอบการทำ Packaging แบบนี้มาก เราไม่ได้แคร์เรื่องรักษ์โลกอะไรนะ แต่เวลาเราแกะ เราไม่ต้องไปหาคัตเตอร์ หรือกรรไกรอะไรมาเพื่อเปิด มันเป็นแบบ Tooless เลย เราใช้มือดึงได้เลย
เมื่อเราเปิดกล่องออกมา เราจะพบกับ Apple TV นอนอยู่ในกล่องอย่างสวยงาม แต่เราจะสังเกตว่า มันไม่มีอะไรห่อหุ้มตัวเครื่องมาเลยนะ คือ Apple มั่นหน้ามั่นโหนกมากว่า กล่องเขาออกแบบมา Fitting พอดีให้ตัวเครื่องไม่มีรอยระหว่างการขนส่งแน่ ๆ กับเราจะเห็นเลยว่า ความกว้างของกล่องมันจะพอดี ๆ เลย ในรุ่นก่อน กล่องมันกว้างพอที่จะเอา Remote มาไว้ข้าง ๆ อันนี้ไม่ได้แล้ว
เอาตัวเครื่องออกไป อ้าว หมดแล้วเหรอ ยัง ๆ มันจะมีแถบสำหรับดึงชิ้นที่รองรับเครื่องออกมา
เราก็จะพบกับส่วนของอุปกรณ์นั่นเอง จะมีสายไฟ และ Remote
อย่างแรกคือ Remote รอบนี้เหมือนเดิมเลยคือ มีการห่อกระดาษมา และยังคิดได้ละเอียดเหมือนเดิมคือ มีการทำแถบสำหรับดึงด้วย เพราะมัน Fit กับความกว้างของกล่องเลย การมีแถบดึงก็ทำให้เราเอา Remote ออกมาได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
ของอีกอย่างคือสายไฟ ก็มีการม้วนไว้ในกล่องเล็กให้เราอีกที
สายไฟ ก็คือเหมือนเดิมเลย เป็นเส้นดำ แล้วก็หัวทุกอย่าง เหมือนรุ่นก่อนหน้าเป๊ะ ๆ เลย เรียกว่า ใช้แทนกันได้เลยแหละ ปลั๊กก็จะเป็นหัวกลมด้วยนะ ความยาวของสาย เราไม่ได้วัดนะ แต่ว่า จากการใช้งาน มันก็วาง Setup น่าจะได้ทุกแบบแล้วละ ไม่น่ามีปัญหาในการใช้งานแน่ ๆ
เมื่อเราเอากล่องสายไฟออกมา เราก็จะพบกับคู่มือ เล่มเล็กมาก ฟิล ๆ ว่า มีให้รู้ว่ามีอะ แต่ไม่มีสติ๊กเกอร์มาให้นะ ถ้าใครหวังก็อดไปนะจ๊ะ
หลัก ๆ ในกล่องของ Apple ก็จะมีเท่านี้เลย ตัว Apple TV, สายไฟ, Remote และคู่มือการใช้งานเบื้องต้น ไม่มีอะไรเยอะตามสไตล์ของ Apple เขาแหละ
Apple TV 4K 3rd Generation
มาดูที่ตัวเครื่องกัน รอบนี้บอกเลยว่า มาแหวกกว่ารุ่นก่อน ๆ ไปเลย จากเดิมที่ด้านบน จะเป็น Logo Apple และมีคำว่า TV อันนี้เปลี่ยนใหม่ไปเป็น Logo Apple เฉย ๆ เรียบ ๆ เราว่าฟิล Mac Mini ย่อส่วนเลย ไหน ๆ พูดถึงขนาดแล้ว มันเล็กลงกว่าเดิมเยอะมาก ๆ ทำให้เราไป Fitting ซ่อน ๆ อยู่ตามซอกเพื่อไม่ให้เห็นง่ายขึ้นเยอะ
ด้านหลังเครื่องแกะออกมาครั้งแรก เขาจะมีการเอากระดาษกาวมาปิดไว้อยู่กันรอยแหละ
เมื่อแกะออกมา มันจะเป็นพวกรายละเอียด แต่ส่วนที่เราแกะกระดาษออกมา มันจะเป็นเหมือนยาง ๆ หน่อยกันลื่น สำหรับใครที่เอามาวางบนโต๊ะ ก็จะได้วางแบบมั่นคงหน่อย ไม่ลื่นไปลื่นมาบนโต๊ะของเรา แต่สำหรับเรา ซ่อนหลังทีวีอยู่แล้ว เลยไม่ได้สนใจอะไร
ส่วนด้านข้าง ก็มีการพันกระดาษมาเหมือนเดิมเลย สำหรับกันรอย เพราะด้านข้างมันเป็นผิวเรียบ ไม่กันมามีโอกาสสูงที่จะมาพร้อมกับรอยขนแมวได้
สำหรับ Port การเชื่อมต่อ อย่างที่บอกว่า เราเอารุ่นที่เป็น WiFi + Ethernet มา ดังนั้น Port ที่ให้มาด้านหลังจะมี 3 ช่องเหมือนกับรุ่นก่อน เรียงจากซ้ายไปขวาคือ ช่องเสียบสาย Power, Ethernet และ HDMI
โดยที่ Ethernet นี้จะเป็นแบบ Gigabit Ethernet หมายความว่าสามารถรองรับ Bandwidth สูงสุดได้ที่ 1 Gbps ก็เพียงพอกับการ Stream Content หนัก ๆ แน่นอน อย่างมาก Stream Blu-Ray เลยพวกนี้ก็ไม่น่าเกิน 1-2 ใน 10 ของ 1 Gbps เท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วง ส่วน HDMI รองรับทุกมาตรฐาน HDR ตั้งแต่ HDR10 ยัน Dolby Vision บนความละเอียดสูงสุดที่ 4K 60FPS ไปเลย ก็คือ ถ้าเราเอามาดู Content ไม่ต้องห่วงเลยนะว่า จะไม่สุด มันสุด ๆ แล้วค่าาาา
ตัว Remote เป็นแบบที่เราชอบมาก ๆ ตัวกดลูกศรขึ้นลงซ้ายขวา เขาจะเป็น Sensor แบบสัมผัสได้ด้วยคือ แทนที่เราจะต้องกดลงไปเหมือนกับ Remote อื่น ๆ อันนี้เราเอานิ้วเราไถ ๆ ไปได้เหมือน Trackpad บน Laptop เลย แล้วมันเจ๋งมาก ๆ เพราะทำให้เรา Navigate ไปตามเมนูได้เร็วขึ้นแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย แอบชอบมาก และปุ่มอื่น ๆ พวก Back, Menu, Play/Pause, Mute กับเพิ่มลดเสียง อันนี้เหมือนเดิม
ช่องชาร์จของ Remote ตัวนี้แหละ ที่ต่างจากรุ่นก่อน และ เราก็ต้องบอกเลยว่า สักทีนะอีนัง Tim !!!! เขาเปลี่ยนมาใช้ Port USB-C สำหรับชาร์จ Remote แล้วจากเดิมที่เป็น Lighting แต่เขาก็คาดหวังอีกแล้วว่า เราจะต้องมีสายแล้วนะ ไม่แถมสายมาให้แล้วนะ ก็.... เปลี่ยนเป็น USB-C ให้แล้วอะนะ ก็ไปหาสายมากันเองนะ แหม่ตัวเธอ
ด้านข้างของ Remote จะมีปุ่มที่เป็นรูป Microphone สำหรับเรียก Siri สั่งผ่าน Remote ได้เลย เหมือนกับพวก Smart TV รุ่นใหม่ ๆ แต่เราแนะนำเลยว่า เวลาใช้จริง ปิด Feautre นี้ซะ บางที ดูหนังอยู่แล้วจะหยิบ Remote มาเพิ่มเสียง คว้าปุ๊บ แมร่งโดนปุ่มกด ออก App กรูอี๊กกกกกก
สำหรับใครที่ใช้รุ่นก่อนมา ก็บอกเลยว่า เหมือนเดิมทุกอย่าง แค่เปลี่ยนช่องชาร์จเท่านั้นแหละ
Apple TV 4K 2nd vs 3rd Generation
ไหน ๆ เราใช้งานรุ่นก่อนหน้าอยู่ด้วย เอามาลองทาบ ๆ ดู เราจะเห็นเลยว่า ขนาดของรุ่นใหม่เล็กกว่าเดิมเยอะมาก ๆ เยอะแบบ เยอะจริง ๆ นอกจากขนาดที่เราเห็นแล้ว ด้านใน SoC ก็ได้รุ่นใหม่อย่าง A15 Bionic จากรุ่นเดิมที่เป็น A12 Bionic ทำให้ Performance แรงขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 50% ถ้าเราเอามาเล่นเกมใน Apple Arcade มันก็น่าจะพอเห็นผลบ้างงงง นิดหน่อย แต่ถ้าเอามา Stream Content ก็ไม่ต่างหรอก กับ การกินไฟพอมาเป็น A15 Bionic เรื่องการกินไฟได้รับการพัฒนาไปเยอะอยู่ ก็น่าจะทำให้กินไฟน้อยลงเหมือนกัน
ถามว่าเยอะขนาดไหน เราก็ลองเทียบจาก Power Sensor เลย รุ่นก่อนหน้าตอน Idle กินอยู่ 16.6 - 17.6 W แต่ในรุ่นใหม่กินอยู่ที่ 12.4 - 13.5W เรียกว่า ต่างกันอยู่พอสมควรเลยนะ แต่ถามว่า มัน Significant กับการกินไฟในบ้านมั้ย เราก็บอกเลยว่า ไม่ขนาดน้านนน ไม่ต้องหาเปลี่ยนเพราะมันกินไฟน้อยกว่านะ กราบละ
กลับที่ขนาดกันต่อ รุ่นใหม่ด้านขวา ก็บางกว่ารุ่นเก่าอยู่นิดหน่อย ซึ่งเราว่ารุ่นนี้ ถ้าใครที่เอาไป Setup แบบไว้ใต้ทีวีบนโต๊ะ การที่มันบางลง ก็ทำให้เราสอดมันไว้ใต้ทีวีได้ง่ายขึ้นเยอะ
Port การเชื่อมต่อ อย่างที่เราบอกเลยว่า มันเหมือนกันเลย แต่มี 2 จุดที่แตกต่างกัน อย่างแรกคือ รุ่นเก่า เขาจะมีการ Label บอกว่า แต่ละ Port คืออะไรผ่านตัวหนังสือ แต่รุ่นใหม่ไม่มีนะ กับอีกส่วน เราจะเห็นว่า การเรียง Port มันต่างนิดนึง ตรง Ethernet และ HDMI ส่วนตัวเราคิดว่า มันเป็นเพราะเรื่องที่เขาขาย 2 Variance แหละถ้าเอา Ethernet ไว้ตรงกลาง เวลาที่ทำรุ่น WiFi อย่างเดียวมันจะแหว่ง งั้นก็ทำตรงกลางไป แล้วรุ่น WiFi ปิดทึบตรงกลางมันก็เรียบสวย สมดุลซ้ายขวาจาก Power และ HDMI
สำหรับ Remote เรียกว่า หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ ๆ เลยดีกว่า ไม่ว่าจะด้านไหน Feature การใช้งานเหมือนเดิมทุกอย่าง ถ้าเราชินกับอันเก่าแล้ว อันใหม่ก็เหมือนคนเดิม ฟิล แฟนเก่าหน้าเดิม แบบนั้นเลย จะมีความต่างก็อย่างที่บอกคือ Port การชาร์จเปลี่ยนจาก Lighting เป็น USB-C แค่นั้นเลย
เขายังมี Remote ขายแยกด้วยนะ สำหรับใครที่ใช้ Generation เก่า แล้วอยากจะเปลี่ยนมาใช้ Remote ที่มีช่องชาร์จเป็นแบบ USB-C ก็เชิญเสียเงินซื้อไปงอกที่บ้านได้เลย
การ Setup และ ใช้งาน
สำหรับเรื่อง Setup และ ใช้งาน เราไม่ขอพูดเยอะละกัน เพราะมันเหมือนเดิมทุกอย่าง แบบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย มันเป็น Software ชุดเดียวกันทั้งหมดคือ tvOS อะไรที่เราเคยใช้ในรุ่นเดิม เราก็จะใช้ได้เหมือนเดิมทุกอย่าง แบบทุกอย่างจริง ๆ
สำหรับคนที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน ก็กลับไปอ่านบทความรีวิว Apple TV รุ่นก่อนของเราได้เลย การใช้งานเหมือนกันทุกประการ เราไม่ขอเขียนซ้ำละกัน
สรุป Apple TV 4K 3rd Generation : ขี้กลิ่นเดิม เพิ่มเติมคือขายชาติหน้า
โดยสรุปแล้ว Apple TV ใน Generation นี้ก็ยังเป็นกล่องสำหรับการดูทีวีที่โอเคเหมือนเดิม การใช้งานที่ลื่นไหล แต่ก็ไมได้ต่างจากรุ่นเดิม รองรับมาตรฐานเดิม ๆ ที่เพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไป รองรับการทำเป็น Smart Home Hub รองรับพวก Thread สำหรับการควบคุมอุปกรณ์ Smart Home เหมือนเดิม ต่างจากรุ่นเดิมแค่อย่างเดียวคือ เปลี่ยน SoC ที่ Performance สูงขึ้น แน่นอนว่า ถ้าเราไม่ได้เล่นเกมหนัก ๆ ก็ไม่เห็นผลเลยด้วยซ้ำ กับขนาดที่เล็กลง เรียกว่า อะไรที่เป็นปัญหา ก็อยู่เหมือนเดิมขี้กลิ่นเดิม กับเรื่องที่ยังเคืองไม่หายคือ ถ้าพี่ไม่ขาย แล้วพี่จะรีบออกมาทำไม กว่าจะขายได้ รอจนแห้งอะค่ะ
เห็นเราด่าขนาดนี้ แต่ถ้าใครมองหากล่องดูทีวีที่ให้ประสบการณ์ที่โอเค ลื่นไหล เข้ากับ Apple Ecosystem เป็นเครื่องเล่นเกมขำ ๆ ในห้องนั่งเล่น เล่นเกมกันตอนเพื่อนมา หรือเล่นในครอบครัว เป็น Smart Home Hub เราก็มองว่า Apple TV 4K 3rd Generation ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน อ้าว แนะนำเฉย ถถถถ