รีวิวความมหาบัณฑิต และลานรถทัวร์ (ได้นามสกุลใหม่ด้วยแหละแกร)
อาทิตย์ก่อน ๆ ที่ไม่ได้ลงบทความเลย ก็คือหายไปรับปริญญามานี่แหละ เย้ ได้รับสักที หลังจากจบมาเป็นปี แต่ก็นะด้วยสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ก็ทำให้มันต้องเลื่อน กลัวจะเหมือนกับ มหาลัยหลาย ๆ แห่งที่เลื่อน ๆ จนบางคนมีลูกแล้วยังไม่ได้เลย (เพราะคนให้ไม่ว่างแหละ) แต่ก็เอาเถอะ กลับมาจัดได้แล้ว ได้รับสักที วันนี้เรามาเล่าดีกว่าว่า หลังจากรอบที่แล้วเหนื่อยชิบหายแล้ว รอบนี้เรียนรู้อะไรแล้วแก้ไขอะไรบ้าง
ชุดครุยที่ไม่ได้คบ
จริง ๆ ชุดของตอนปริญญาตรีกับโท หลัก ๆ ก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ เอาจริง ๆ มองแทบไม่เห็นด้วยซ้ำ คนที่ไม่รู้เข้าใจว่าเหมือนกันแน่นอน เราเคยเล่าความฮ่าของชุดไว้แล้วตอนปริญญาตรี อ่านด้านบนได้ เอาเป็นว่า ร้อนเหมือนเดิมละกัน ฮ่า ๆ
รอบก่อนร้านมาจัดการให้ที่คณะเลย จะง่ายหน่อย แต่รอบนี้ปริญญาโท ก็ต้องจัดการไปที่ร้านวัดตัวอะไรเอง แต่ก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะร้านก็อยู่แถวคณะแหละ ขับรถไปแปบเดียวก็ถึงแล้วเหมือนไปเรียนวันปกติ จริง ๆ ตอนนั้น เราจบมาแล้วเห็นว่าพวกปริญญาตรีก็เริ่มตัดอะไรไปบ้างแล้ว กลัวช้าเลยรีบไปจัดการ แต่ความพีคคือ ก่อนตัด สถานการณ์ COVID มันดีขึ้นอยู่หน่อย ๆ คิดว่าจะได้รับละ แต่วันที่ได้ชุดคือ สถานการณ์ชิบหายแล้วสุดท้ายคือ ยกเลิกจ้าาา เลื่อนไปปีหน้าเลย ทำให้จริง ๆ แล้วเราจบตั้งแต่ปีก่อนแล้วละ แต่พึ่งมาได้รับปีนี้ นั่นแปลว่า ชุดก็คือนอนอยู่ในตู้เกือบปีเลยทีเดียว เป็นเศร้าไปอีก
อะกลับมาเรื่องชุดดีกว่า หลาย ๆ คนคิดว่า เอ๊ะเราเรียนคณะแพทย์แล้วจะได้ครุยสีเขียว แต่เอ๊ะ ทำไมสีเหลืองทองทิพย์เหมือนเดิม จะบอกว่ามหิดลไม่ได้เรียงสีครุยตามคณะ แต่เป็นวุฒิที่เราได้ ซึ่งปริญญาโทเราก็เป็น วิทยาศาสตร์ เหมือนเดิม เลยได้สีเดิม มุแง๊
ความพีคกว่านั้นอีกคือ ครุยของป.โท ถ้าคนไม่รู้ดูเผิน ๆ มันจะเหมือนกับ ป.ตรีเลย แค่แถบตรงกลางมันกว้างขึ้นมาหน่อยนึง ถ้าเดินอยู่คนเดียว มองไม่ออกเลยนะ ได้สีเดิม แถบกว้างขึ้นหน่อยเดียว ชิบหายเรียนมา 3 ปี ได้เหมือนเดิมไม่มีผิดเลย เป็นเศร้า
อานนท์ vs Contact Lens
เราเป็นคนที่สายตาสั้นกับเอียงมานานแล้ว รอบก่อนที่รับปริญญารูปออกมา เราใส่แว่น คนที่ใส่แว่นจะรู้ดีว่า แว่นนี่นะ มันเป็นเครื่องบ่งเวลาได้เป็นอย่างดี เช่น เมื่อก่อน เราชอบแว่นแบบนี้ หรือ สมัยนิยมมันจะเป็นแบบนั้น เวลาเรากลับมามองรูปตอนนั้น มันก็จะนึกย้อนกลับไปในเรื่องที่แปลก ๆ สักหน่อย เราเลยอยากใส่ Contact Lens ละกัน เอางั้นเลย
แน่นอนว่า คนที่ไม่เคยใส่บอกเลยว่า มันคือ หายนะ ขั้นสุดยอดเลย เราจะต้องฝืนความอัตโนมัติของเราที่ มันไม่ชอบให้เราเอานิ้วไปแหย่ตาเล่น รอบแรกที่ใส่ได้ เราใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงด้วยกัน ดีกว่าตอน ป.ตรีเยอะนั่นเกือบ 2 แล้วไม่สำเร็จ
ลองใส่ไปใส่มาจาก 30 นาที เหลือแค่ไม่เกิน 5 นาทีเท่านั้นเอง รู้สึกชนะชิบหาย พีคกว่านั้นอีก พอคนไม่เคยใส่นาน ๆ แล้วออกไปถ่ายรูป แล้วไม่ค่อยได้กินน้ำ สรุปออกมาคือ ตาแห้ง แล้วมันแดง ๆ ก่ำ ๆ ทั้งวัน รูปออกมา ตาคือแดงไปเลย ชิบหายยย
หลังจากนั้นก็ลองใส่ดู แล้วหยดน้ำตาเทียมเรื่อย ๆ (จริง ๆ ใช้อยู่แล้ว เป็นคนตาแห้งอยู่แล้ว) ปรากฏว่า ดี แฮะ มันจะแปลก ๆ แหละ จะจับแว่นอ้าวไม่มีซะงั้น แต่ ๆๆๆๆๆ ถ่ายรูปออกมา น้องงงงงง อีนี่ใครคะ หน้าใหญ่มาก อ้วนมาก สุดท้าย เลยกลับมาใส่แว่นในวันที่เหลือแทน ความพยายามนั้น เห้ออ เอาวะ อย่างน้อย เราก็ชนะมันได้
อานนท์ vs แต่งหน้า
นอกจาก Contact Lens แล้ว อีกเรื่องที่ไม่พอใจจากรอบก่อนเท่าไหร่คือหนังหน้าค่าาาา เอาจริง ๆ เลยนะ เราไม่ได้เป็นคนที่หน้าตาดีเลยจริง ๆ หน้ามันมีหลาย ๆ จุดที่เราไม่ชอบเท่าไหร่ การแต่งหน้ามันก็ช่วยทำให้เรามั่นใจมากขึ้น กับ เวลาเราถ่ายรูปมาแทนที่จะต้องมานั่งจัดการอะไรแบบนี้ เราก็ Focus กับส่วนอื่น ๆ ได้มากกว่า ประกอบกับ เวลาเราสอน Online Video เราก็ควรจะต้องแต่งหน่อย ทำให้การรับปริญญานี่แหละ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะหัดแต่งหน้าเอง เรื่องนี้ต้องขอบคุณเพื่อนจริง ๆ ที่มาสอนแต่งหน้า พาไปซื้อรองพื้น และ แต่งให้วันซ้อมใหญ่ ก็คือหน้าออกมาเรียกว่ากริ๊บเลยละ
วันอื่น ๆ แต่งเอง เราว่า เราก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ มันก็พอไปวัดไปวาได้อยู่เหมือนกัน แรก ๆ แอบไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่า ที่เราแต่งมันลอยมั้ย รองพื้นตกร่องตรงไหนมั้ย แต่มันก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่า เดี๋ยวไปสอนอะไรที่ต้องอัดวีดีโอ การแต่งหน้ามันช่วยได้เยอะจริง ๆ
ไปถ่ายนอกรอบ
บอกเลยว่า ลิง เรียน รู้ แล้ว รอบก่อน หลาย ๆ รูปออกมา เราก็ชอบนะ แต่มันก็จะมีบางอย่างที่มันไม่ได้เท่าไหร่ เช่น ตรงนั้นไม่เรียบร้อย ตรงนี้มันขาดไป อะไรแบบนั้น เรื่องนั้นทำให้หลังจากนั้น เวลาเราถ่ายรูปเอง เราก็จะเป็นคนที่ชอบดูพวกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ตะขอติดไม่สนิท หรือฮูทมันไม่เห็นปมไทด์ (ทำให้ดูไม่มีคอ มันก็ไม่มีอยู่แล้ว) ยันเอามาใช้แบบถ่ายรูปทั่ว ๆ ไป ก็จะจุกจิกชิบหายไปหมด
รอบก่อน ยอมรับว่า ถ่ายไปหลายรอบมาก กับกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ เยอะมาก ๆ รอบนี้บอกเลยว่า ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ความรู้จักคนเยอะ มันก็จะเยอะไปหมด แล้วเราก็อยากจะถ่ายกับทุกคนจริง ๆ เลยมีนอกรอบไปนั่นนี่บ่อยมาก จนพี่ที่รู้จักบอกว่า แกรใช้ชุดคุ้มมาก ถถถถถ
ปกติ ถ้าเราถ่ายตอน ป.ตรี เราก็น่าจะไปถ่ายในมหาลัยพวกแบบสถานที่ ๆ เราเดินผ่านทุกวัน หรือเราผูกพันกับมัน จริง ๆ เราก็แบบนั้นแหละ แต่อันที่สนุกจริง ๆ คือ การถ่าย Cover เป็นตัวเอง มันก็จะมีรูปที่เราเคยถ่ายเมื่อหลาย ๆ ปีก่อน แล้วเราก็ถ่ายเลียนแบบ ออกมา ก็คือ เออ กู อ้วนขึ้นจริง ๆ ด้วย
หรืออันที่พีคจริง ๆ ก็น่าจะเป็นกับน้องเทคตัวเอง ลอกถ่ายตั้งแต่เราอยู่ปี 2 ตอน ป.ตรี เราเรียนจบ ป.ตรี มันเรียนจบ ป.ตรี แล้วเราก็จบโท ก็คือ เออ ทำไมรู้จักมันนานขนาดนั้นฟร๊ะ ไม่น่าเล้ยยยยย
พอในมหาลัย มันเบื่อละ เราไปหาอะไรสนุก ๆ ดีกว่า ยิ่งเราถ่ายรูปมาเยอะ เราก็จะอยากหาอะไรที่มันแปลกตา มันไม่เหมือนชาวบ้านเขาเท่าไหร่ งั้นเราไปสวนเบญแมร่งเลย เอาเพื่อนที่เป็นช่างภาพไปด้วย ทริปนั้นก็สนุกดีนะ แต่ร้อนชิบหายเลยละ
แน่นอนว่าไปถ่ายรูปแบบนี้ที่สวนเบญ เพื่อให้รู้ว่ามาถึงแล้ว มันก็แน่นอนว่า ไป สะพานเขียว ตอนที่เพื่อนบอก เราเข้าใจว่า อ่อ สะพานนี่สั้นไม่กี่สิบเมตรเท่านั้นแหละ พอถึงหน้างานจริงชิบหายค่ะซิส แมร่งคือสะพานเชื่อมสวนเบญ กับ สวนลุม เป็นกิโลเลยจ๊ะแม่ ! แล้วใส่ครุยเดินกลางแดด บนสะพานนั่น เรียกว่า ตัวเหลว ตากล้องก็ไม่ต่างกัน
หรือเย็นนั้นไหน ๆ ก็เข้าเมืองแล้ว เราไปล่อแถว ๆ จุฬาแมร่งเลย แถว ๆ สวนหลวง 100 ปี ก็คือ ตากล้องเดินตามกัน 3 คน แล้วก็มีคนมอง คือ มองเรื่องไหน ระหว่าง ใส่ครุยมหาลัยไหนฟร๊ะ ไม่ใช่จุฬาแน่ ๆ เดินอยู่ หรือ อีนี่เป็นใครตากล้อง 3 คนเดินตาม ขำมากวันนั้น
เราว่าอันที่หาทำสุด ๆ น่าจะไปถ่ายกับเพื่อนที่ชลบุรี (เพื่อนทำงานอยู่นั่น และมันต้องกลับมารับ แต่ก็ไปถ่ายกับมันที่นั่น หาทำชิบหาย) ขับรถไปแล้วถ่ายกัน ความดีหน่อยคือ อะขับ BEV ไปกลับมันไม่ต้องชาร์จก็ไหว เสีย 60 กว่าบาทค่าไฟไปกลับ โอเคแหละ แต่ก็ได้รูปดี ๆ มาเยอะอยู่
The Photo Developer
รอบก่อนที่เราไปถ่ายนอกรอบอะไรมา รอบที่เราจ้างช่างภาพ เราก็จะให้เขาจัดการให้หมดเลยนะ แต่รอบนี้ เราจะพยายามขอ RAW File ออกมาแล้วเอามาทำเอง ทำให้ตอนนี้เราบอกเลยว่า เรื่องการ Develop รูปตอนนี้บน Lightroom ก็คือ เก่งขึ้นแบบสุด ๆ ก้าวกระโดดมาก ไม่กล้าทำรูปคนอื่นก็ทำรูปตัวเองนี่แหละ ตอนนี้อยากรับงานเลย
ยิ่งช่วงหลัง ๆ เรายิ่งดูอาจารย์แดงกีตาร์เพิ่มดีกรีความปั่นเยอะมาก ๆ จนเกิดรูปพีค ๆ เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเป็นเงาตามตัว
ความพีคของเราคือ เมื่อเราต้องมานั่ง Develop รูปเอง แล้วเราไปถ่ายหลายรอบ หลายวัน ทำให้รูปทั้งหมดไม่รู้นะว่าเท่าไหร่ แต่เราเดา ๆ ว่าน่าจะเกิน 2,000 Shot เลย แล้วเราต้องมานั่งเลือกแล้วก็ Develop อีก เลยทำให้เราเสียเวลากับเรื่องนี้เยอะมาก ๆ เราเห็นเพื่อน ๆ รับเสร็จอีกวันลงรูปได้แล้ว นี่คือ ชิบหายกรู ทำงาน โว้ยยย แล้วเย็นมานั่งทำรูปตัวเอง เข้าใจละว่าทำไมต้องให้ช่างภาพจัดการให้ ๆๆๆๆๆ
พอมีรูปเยอะ ก็คือ เรามั่นใจว่า ชิบหาย เราลงได้ยันจบเอกอะ เยอะเกิ๊นนนนนนน ตอนนี้ในเฟสก็คือ มีแต่รูปชุดครุย เอ่อ แกไม่แต่งตัวแบบอื่นในชีวิตช่วงนี้เลยเหรอ ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆ
วันซ้อม
เมื่อก่อนเราเคยเล่าแล้วละว่า มหาลัยจะซ้อมประมาณ 3 รอบแล้วก็รับจริงอีกรอบ ไม่รู้ด้วยอะไรเหมือนกัน ก็เปลี่ยนมาเป็นซ้อม 2 แล้วก็รับจริงเลย หายไปรอบนึง ก็ไม่ได้อะไรมากเท่าไหร่สำหรับพวกแก๊งค์บัณฑิตวิทยาลัย อย่างน้อยแกต้องเคยรับสักครั้งแล้วละ ไม่ค่อยมีอะไรต่างกันมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะ ถ้าใบก่อนเรียนที่เดิมอะนะ
ด้วยความที่ช่วงนี้ COVID-19 ก็ยังไม่จบเนอะ มหาลัยก็ทำระบบให้เราตรวจ ATK แล้วก็ Upload ขึ้นไปบนหน้าเว็บ ก็อะ โอเค ใช้งานได้ง่ายดี ไม่มีปัญหาอะไร
วันซ้อมใหญ่ ก็จะ Run Through เหมือนจริงละ ทำให้เราได้เห็นระบบใหม่ในการจัดการงาน ซึ่งเอาตัวระบบเลยนะ เราว่าตอนที่คิดเรื่อง Flow Rate อะไรพวกนั้นน่าจะคิดมาดีแหละ แต่พอ Implementation จริง เหอะ ๆๆๆๆ ชิบหายวายป่วงมากพอตัว ไว้ไปเล่าตรงลานรถทัวร์ละกัน
เรื่องที่ต้องชมเลย คือเรื่องการรอเข้าหอประชุม รอบก่อนต้องไปรอหลายชั่วโมงมาก ๆ รอบนี้ เรารออยู่อย่างมากชั่วโมงเดียวได้มั้ง กับการยืนยันตัวบัณฑิตเมื่อก่อนหาทำด้วยการใช้ RFID ติดกับครุยแล้วให้ Reader อ่านง่าย ๆ แต่เอาเข้าจริงคือมันก็ไม่สะดวกขนาดนั้น ตอนนี้กลับไปใช้ QR Code แล้วมีคนค่อยยิงตอนเราเข้า มัน Effective กว่ามากจริง ๆ
แล้วเวลานั่งรอมหาลัยปรับที่จอดรถใต้หอประชุมเป็นที่นั่งรอเข้าหอประชุม ตอนแรกเราคิดว่ามันจะแอบร้อนมาก ๆ แต่เอาเข้าจริง มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด ยิ่งเรารับเช้าด้วย อากาศมันยังไม่ร้อนมากเท่าไหร่ เลยไม่ได้เดือนร้อน แบบ ร้อนจริง ๆ แบบที่ไปในพิพิธภัณฑ์ที่ยังสร้างไม่เสร็จน่ะ (ตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ ถถถถถ)
ความตลกได้ Content ของรอบนี้คือ ด้วยความที่สาขาเราปีนี้ เราจบคนเดียว ใช่แล้ว จบ คน เดียว ชิบหาย ปกติเวลานั่งรออะไรพวกนี้เราก็จะมีเพื่อนอย่างน้อยก็คณะกับรุ่นเดียวกันนั่งอยู่ด้วยกัน แต่อันนี้คือ อ้างว้างสัส ๆ เลย ชิบหายแล้ว เหงาแน่นอน เลยคิดว่ายังไง ตอนซ้อมก็คือ ชั้นต้องผูกมิตรกับคนที่นั่งข้าง ๆ สรุปก็คือใช้ความด้านของตัวเองทั้งหมดสู้ค่ะ รอดตายเจ้าค่ะ ไม่เหงาแล้วได้เพื่อนใหม่เฉย
วันรับจริง
เอาจริง ๆ เลยนะ เปิดประสบการณ์จริง ๆ แหละ เพราะรอบก่อนที่รับ เรารับบ่ายเลยทำให้เราไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้ามา รอบนี้รับเช้าก็คือ เริ่มเข้าตอน 6 โมง ก็คือ.... ชิท.... ไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ อ่อ เมื่อ 2 วันก่อน ฮ่า ๆๆๆ
วันจริงมาไม่ต่างจากวันซ้อมใหญ่เท่าไหร่ก็คือ ตี 3 ตื่นจ๊ะแม่จ๋าาาา ประกอบกับ พึ่งซ้อมใหญ่ที่ตื่นตี 3 มาเมื่อ 2 วันก่อน ทำให้เพลียกว่าวันก่อนหน้าอีก กว่าจะลุกได้คือ เกือบสายแล้วเหมือนกัน ถึงมหาลัย เดินผ่าน เอ๊ะ นั่นมันร้านขายพวกของให้บัณฑิต แต่เอ๊ะ วันนี้เขาไม่ได้ให้ญาติ ๆ กับเพื่อน อะไรเข้ามานิ หรือว่า ยินดีด้วยกับบัณฑิตโดยบัณฑิต ขอบคุณบัณฑิต ได้เหรอ......
ตอนแรกก็คิดว่า เออ เราแต่งหน้าสักหน่อยดีมั้ย ไหน ๆ ก็มาเช้าเหมือนเดิม สรุปก็ไม่ได้แต่ง เพราะอย่าลืมว่า รับรอบนี้ เราก็ต้องใส่ Mask รับเพราะการระบาดของ COVID-19 (ที่แมร่งก็นะ..... เอาเถอะ เห้อ) ถ้าใส่แล้วจะแต่งทำไมสุดท้ายก็ไม่เห็นอยู่ดี แล้วก็ติด Mask อึดอัดเองอีก ทั้ง Mask ทั้ง Make Up งั้นก็ทำแต่ผมละกัน ประกอบกับ วันจริง มหาลัยไม่ได้ให้ใครเข้ามา นอกจาก เจ้าหน้าที่, บัณฑิต และ คนมอบเท่านั้นแหละ ชั้นจะถ่ายรูปกับใคร งั้นก็หน้าเพียว ๆ นี่แหละ จะกลัวอะไร
จากนั้นก็ตาม Process ตอนวันซ้อมใหญ่ทุกประการ แค่ว่า มีแจก Mask ด้วย ซึ่งคือ Surgical Mask และ N95 เข้ ตอนเห็นคือรู้สึกเลยนะว่า ดีนะที่ไม่แต่งหน้ามา ไม่งั้นเอามือเกาหน้า จับ Mask ไป เป็นสีรองพื้นแน่นอนแกร กับหน้าเมือกในนั้นแน่นอน ยอมรับเลยว่าคนที่ใส่ 2 ชั้น แล้วหายใจออก กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ จริง ๆ ประกอบกับครุยก็ร้อนด้วย แมร่งทวีความชิบหายเข้าไปใหญ่
พอเข้าไปในมหิดลสิทธาคารที่เป็นสถานที่รับ เอาจริง ๆ ฟิลคล้าย ๆ กับตอนรับ ป.ตรีแหละ เพราะมันก็คล้าย ๆ กัน แค่เปลี่ยนที่นั่งจากชั้นบน ๆ ไม่เห็นบ้าอะไรเลย เป็นนั่งหน้าเลยค่าาา (จะแอบหลับก็ยากอะดิ ซึ่งก็เผลอจริง แมร่งตี 3 ง่วงเห๊อะ) ต้องมีส่วนร่วมในงานกะเขาบางอย่าง ในนั้นก็คือ เรื่องปั่น ๆ เยอะมาก ความ Staff เราไม่รู้นะว่าเขาทำงานกันอย่างไร แต่เรื่องของการ สื่อสาร คือ แปบนะ พวกคุณไม่คุยหรือบรีฟงานกันเลยเหรอ ทุกคนดู งง ๆ มึนงงว่า เอ๊ะ กรูต้องอยู่ตรงไหนของสังคมแปลก ๆ ไม่ก็เขา Update Patch แล้วบางคนก็ไม่ Update ทำกันมั่วไปหมด
จังหวะรับ รอบนี้บอกเลยนะคะว่า วิจะไม่พลาดแล้วค่ะ ไหน ๆ เราก็รับอีกรอบแล้วจะเอารูปไปแปะข้าง ๆ รอบนี้ขอดี ๆ ไม่เอาตัวยื่น ๆ แล้ว Perfection เต็มที่ แมร่งติดอย่างเดียว ชิบหาย คนอ่านชื่อ อ่านนามสกุลผิด ผิดแบบผิดคำเลย ตอนได้ยินคือ เกือบสะดุด แล้วคือมีการ Live ลง Facebook มีรุ่นน้อง กับเพื่อน ๆ ส่งมาถามเต็มว่า พี่เปลี่ยนนามสกุลเหรอ อิผี !!!!! ความเชี้ยจริง ๆ ของเรื่องนี้คือ เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลายเป็นเราแมร่งโดนอ่านผิดเฉย จะขำก็ขำนะ จะโกรธก็โกรธ เราว่าอ่านผิดแบบ ตกพยางค์ หรือพวกวรรณยุกต์ผิด เราจะไม่โกรธเลยนะเข้าใจว่า คนอ่านก็ลน แต่นี่คือ ผิดคำจาก 3 พยางค์ แปลงไป 2 เชี้ยไรครับเนี่ยยย สงสัยกว่านั้นที่ผิด มันไปเติมมาจากไหนก่อน !!! เอาเป็นว่า เขาไม่ได้เรียกชื่อเรา คิดซะว่าไม่ได้รับละกันเนอะ ที่มาซ้อม กับตื่นเช้าก็เสียเวลาเล่นแหละเวลามันเหลือแหละแกร เก๋ ๆ คนเราเวลามันเหลือ
ข้อดีของรอบเช้าคือ มันเป็นเวลานะ เพราะเราเข้าไป 6 โมงเช้า แล้วเสร็จออกมาสัก 11 โมงได้ ก็ยังอยู่ในช่วงเช้าอยู่ แต่...... โทษนะ ปีนี้เขาไม่ได้ให้ใครเข้ามาในวันจริงไง ดังนั้นหลัก ๆ วันนั้นก็คือ ถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ที่รับแล้วละ บางคนเสร็จก็แปลงร่างแล้วกลับบ้านเลย เดิน ๆ ในมหาลัยก็คือ เงียบมาก ๆ เงียบจน เอ๊ะ นี่วันรับปริญญาจริง ๆ เหรอ แล้วก็หมดวันแบบเหงา ๆ จริง ก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งแหละ แต่ถ้าให้เขาเป็นปกติ เราว่า การรับช่วงเช้ามันจะต้องตื่นเช้านะ แต่มันเสร็จไว ไปถ่ายรูปทำอย่างอื่นต่อได้ง่ายกว่าเยอะ
ลานรถทัวร์แบบ Grand Tourer
ถ้าคิดว่า รถทัวร์ มันน้อยไป เราอยากจะแนะนำให้รู้จักกับ ลานรถทัวร์ และ การจัดงานรับปริญญารอบนี้ไม่ได้เป็นลานรถทัวร์ธรรมดานะ แมร่งมาเป็นแบบ Grand Tourer เลยทีเดียว เพราะชิบหายกันตั้งแต่ ประกาศอะไรกันแรก ๆ ละ เราไม่เล่าละกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เราอยากจะบอกจริง ๆ ว่าที่ทำก็คือ ถ้าตำรา Crisis Management บอกให้ทำอะไรนี่คือ ตรงข้ามทุกอย่าง เรียกว่า Crisis Development ดั่งเชื้อไฟสุม
เรื่องแรกที่เราเห็น เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่า มันไม่ควรออกจากปากของมหาลัยได้เลยจริง ๆ นะ คือการที่ตอนแรกบอกว่า จะไม่ให้ญาติ และ เพื่อน ๆ เข้ามายินดีในวันซ้อมทั้งหมด และ วันจริง อันนั้นก็คือ เปิดรั้วรับทัวร์ละหนึ่ง (พอจะเข้าใจได้บ้างงงง เพราะ COVID-19) พอรถทัวร์จอด ก็ Post เป็นว่า เออ วันอื่นมาถ่ายรูปกันได้นะ ตอนเห็น Post นี้คือ ขำแห้งมาก และอุทานออกมาว่า "มึ_เอางี้เลยเหรอ" เรียกได้ว่าเปิดรั้วไม่พอ ทำป้ายไฟใหญ่ ๆ เรียก ริม Highway อี๊กกกกกกก ดีที่พอทัวร์ลงต่อนางก็หยุด ไม่งั้นนี่นะสนุกกว่าเดิมเยอะ
ประเด็นนี้เรามองว่า PR คนที่ทำสื่อ และคนที่ Approve สื่อนี้ออกมา อาจจะไม่เก๊ตเหตุผลของการที่เพื่อนและญาติงานรับปริญญาเท่าไหร่นะ ความแย่คือมหาลัยจัดงานนี้มาไม่รู้กี่ครั้ง ทำมากี่ปีแล้ว ยังไม่เข้าใจประเด็นนี้จริง ๆ เหรอ เป็นเรื่องที่เราตั้งข้อสงสัยมากกว่า เลยทำให้ออกมาเป็น Post ป้ายไฟเรียกทัวร์เนี่ย คนเดี๋ยวนี้เอาจริง ๆ เราด้วยแหละ เราก็ไม่ได้แคร์การมารับใบปริญญานะ แต่มันเป็นการที่คนที่บ้านเรา เพื่อน ๆ เรามายินดีมากกว่า การ Post ออกมาแบบนั้นเลยไม่แปลกเท่าไหร่ที่จะเรียกทัวร์มาหนักกว่าเดิม
ประเด็นอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ เข็ม ชุด และ การจัดงานจริง ๆ เราไม่พูดเยอะละกัน แต่เท่าที่เราเห็นส่วนใหญ่คือ มันเกิดจากปัญหาของ การวางแผน และ การสื่อสาร กันล้วน ๆ เลย ตั้งแต่ในวันซ้อมและวันจริง เรานั่งรอ เราก็จะเห็นบางคน เอ๊ะ เราต้องอยู่ตรงไหนของสังคมนะ อันนั้นยังไงนะ อันนี้ยังไงนะ ตอนนี้เราอยู่ Process ไหนแล้วนะ เอ๊ะ เราจะต้องโหลดบัณฑิตเข้าหอประชุมหรือยัง อันนี้จะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน แล้วต้องไปคุยกับผู้บังคับบัญชา ถามกันขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่าที่เราเห็นเหมือนว่า งง อะ ว่าแล้วจะคุยยังไง Protocol ในการสื่อสารคืออะไร สุดท้ายเลยตอบคำถามไม่ได้ แล้วปล่อยผ่านไป แล้วพอบัณฑิตโดนปล่อยมาที่แรก มาเจอเจ้าหน้าที่อีกคนอ้าวไม่ผ่าน เพราะบรีฟไม่ตรงกัน (เมื่อเราไปทำงาน มันคือคำเดียวกับ บรีฟเ_ย) สร้างความ งง งวย ให้กับบัณฑิต รวมไปถึงคณะด้วย เช่นการตรวจเล็บ ด้านหน้าเขาก็มีเจ้าหน้าที่ของกรรมการจัดงานตรวจแล้วรอบนึง พอมาถึงเช็คชื่อก็เช็คอีกรอบนึง มันทำให้การทำงานมันซ้ำซ้อน สร้างงานที่ไม่จำเป็น และ ทำให้ทุกฝ่าย งง กันไปหมดได้ เรามองว่า พี่จัดมาขนาดนี้ หลาย ๆ เรื่องมันต้องนิ่งกว่านี้แล้วนะ มันต้องมี Communication Protocol และเกณฑ์ ที่ชัดเจนกว่านี้
อันที่เราว่า ตลก จริง ๆ คือ ตอนที่เรานั่งรอจะเข้าหอประชุม ก็นั่ง ๆ รอไป ก็จะมี PR พูด Script เดิมวน ๆ ไปเรื่อย ๆ บ้างก็มี PR ให้คณะไปยืนยันตัวบัณฑิตที่ตรงสแกน QR Code อะไรแบบนั้น แต่ตอนจะโหลดบัณฑิตเข้า ก็มีคนนึงเดินตั้งแต่หัวยันท้ายของที่นั่งรอ ว่าคณะไหนพร้อมแล้วเอาเข้าได้เลยนะ เด่วนะ ไมค์ PR มี แล้วพี่จะเดินตะโกนเพื่อ.... แล้วถ้าบางส่วนงานไม่ได้ยินแล้วยังไง อะไรแบบนั้น ถ้ามี Communication Protocol เลยเช่น ไหน ๆ คนไทยรัก ไลน์ แล้วก็มี กลุ่มเลย ถ้าต้องโหลดแล้วก็บอกในไลน์ จะเดินตะโกนกันเพื่อ....
เราว่า มันจะพีคมากกว่านี้อีกนะ ถ้าเกิดว่า รับปริญญารอบถัดไป ซึ่งถ้านับจากวันที่เรารับไปรอบต่อไปมันคืออาทิตย์นึงแล้วมันไม่มี Retrospective แล้วหา Solution ปล่อยให้ปัญหาเดิม ๆ เกิด แบบปล่อยเบลอ เราว่า อันนี้จะตลกกว่าเย๊อะ (ซึ่งก็.... เย้ The Crisis Developer แหละ ถถถถถ)
ดังนั้นบทเรียนที่ได้จากเรื่องทั้งหมดนี้ เรามองออกเป็น 2 เรื่องใหญ่ ๆ เรื่องแรกคือ ใจเขาใจเรา งานนี้เรามองว่าหลาย ๆ เรื่องที่ออกมา เหมือนไม่ได้ออกจากหัวคิดขนาดนั้น มันเป็นงานสุดท้ายที่มหาลัยจัดให้ ถ้าอยากจะ Keep Connection กับเด็กจริง ๆ เรามองว่ามันควรจะจัดแบบใจเขาใจเรา แต่ก็ยังต้อง Comply ตามกฏระเบียบนะ ไม่ใช่ออกมาแล้วโดนด่าแบบนี้ จบไปก็คือ ใครอยากจะเผาผีด้วยละจริงมั้ย สุดท้าย ใครจะอยากรับ งานมันก็จะตายไปอย่างช้า ๆ (ดู Trend แล้วก็อีกไม่นานแหละ) กับอีกเรื่องเป็นฝั่งของการบริหารละ คือ มันเป็นสไตล์จริง ๆ มาสายปล่อยเบลอ เบลอไปหมด ปัญหาที่เราปล่อยเบลอวันนั้นมันกลายเป็นความผิดพลาดที่ปวดหัวยันวันงานจริงด้วยซ้ำ ยังไม่นับเรื่องการจัดการระบบที่ต้องร้องว่า อิ หยัง ว้าาา ส่วนนึงเราเข้าใจนะว่า มันเป็นงานที่มี Expectation ที่สูง เพราะเป็นงานสุดท้ายก่อนเราจะเรียนจบจริง ๆ ทำให้มันเป็นการบ้านของมหาลัยจริง ๆ นะ มันควรจะได้รับ Feedback จาก Stakeholder ทุกฝ่าย และปรับปรุงให้มันดีขึ้น แล้วอย่าปล่อยเบลออีก ก่อนจะลุกลามเรื้อรังไปมากกว่านี้
สรุป
กว่าจะได้รับก็คือ ผ่านมาเยอะจริง ๆ แบบว่า COVID-19 อะไรพวกนั้นอะนะ และเรื่องเดียวกัน บวกกับความทึบ ๆ ของมหาลัย ก็ทำให้มาตรการหลาย ๆ อย่างมันปรับเปลี่ยนไปจากปกติ ก็ทำให้หลาย ๆ เรื่องไม่สะดวกไปซะเยอะแต่ก็เอาเถอะพูดไปละ จะจัดการเอาไป Take Action ยังไงเราก็ไม่ยุ่งแล้วละกัน เรามองว่ามันเป็นครั้งนึงในชีวิต เราว่าการรับปริญญาก็เป็นเหมือนเป็นการแสดงว่า เราได้ประสบความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งแล้วละ สุดท้ายเราก็ขอบคุณเพื่อน ๆ ครอบครับ ญาติ ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนที่มาแสดงความยินดีถึงจะเข้ามาได้ยากชิบหาย แต่ก็ยังมา ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ไว้เราจะมาเล่าเรื่องปริญญาโทอีกทีละกัน คนถามมาเยอะมาก ๆ