Laziness is my inspiration

แรงบัลดาลใจของคนเรามีกลายอย่างครับ อาจจะเป็น การได้ออกไปพบธรรมชาติข้างนอก การได้ไปพบปะผู้คน แต่ของผมนั้นไม่เหมือนใครครับ นั่นคือ ความขี้เกียจ
ตั้งแต่เด็กยันโตขึ้นมาผมก็ถูก สังคมเอย ผู้คนรอบข้าง ปลูกฝังว่า ความขี้เกียจเนี่ย มันไม่ดีนะ เราเนี่ยควรที่จะขยัน เราจะได้ประสบความสำเร็จ
แต่ผมไม่คิดอย่างงั้นครับผมมองว่า ถ้าเอาเอาความขี้เกียจของเราเปลี่ยนมันมาให้กลายเป็นประโยชน์ ความขี้เกียจนี้แหละมันสามารถเป็นแรงพลักดันให้เราสร้างอะไรได้มากกว่าที่เราคิดซะอีก
ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ เป็นอาชีพที่จะต้องคอย มอง ค้นหา และแก้ปัญหาให้บุคคลต่างๆ เพื่อที่บุคลลที่เราแก้ปัญหานั้นทำงานของเขาได้สำเร็จรุร่วงได้ด้วยดี เพราะฉะนั้นอาชีพโปรแกรมเมอร์หลักๆแล้วเราก็จะสร้างโปรแกรมออกมาให้ผู้ใช้ (User) สามารถนำไปใช้กับตัวผู้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
กลับมาที่ความขี้เกียจกันต่อ
ถามว่า อ้าวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับโปรแกรมเมอร์ล่ะครับ
ความจริงแล้วมันเกี่ยวทุกอาชีพแหละ อย่างที่บอกไปครับว่า อาชีพโปรแกรมเมอร์เป็นอาชีพที่ต้องคอยแก้ปัญหาครับ ถ้าเราไม่หาปัญหามาแก้แล้วเราจะเอาอะไรกินล่ะครับ ? (แกว่งเท้าหาเซี้ยนนั้นแหละ ใช้คำเปลืองจังมึง) แต่ในการหาปัญหาและแก้ปัญหาเนี่ยเราก็ต้องมีแรงบัลดาลใจเหมือนกัน


แต่แรงบันดาลใจของผมเหรอครับ ความขี้เกียจไงครับ ผมมองว่าการที่เราขี้เกียจนั้นไม่ใช่เรื่องเสียหายเลยครับ แค่ขอว่า เราขี้เกียจแล้ว เราต้องคิดที่จะทำให้เราสบายขึ้นครับ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างขี้เกียจมากถึงมากที่สุดเลยครับ แต่เพราะไอ้เจ้า ความขี้เกียจนี้แหละครับ มันทำให้ผมสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้มากมายมากเลย จนตอนนี้ (ปี 2014) ผมเขียนโปรแกรมโดยใช้แรงบัลดาลใจนี้มาจะเป็นีที่ 9 แล้ว (ใกล้จะ 10 ปีแล้วนะ) แรงบัลดาลใจนี้ก็ไม่เคยจากผมไปไหนเลย มันก็ยังคอยช่วยให้ผมสร้างสรรค์ ไอเดียต่างๆได้ทุกวัน (ดูดีล่ะสิ อิอิ)
ซึ่งผมเชื่อว่าคนทุกคนไม่มีคนไหนที่ไม่มีความขี้เกียจในตัวหรอกครับ คนที่ขี้เกียจน้อยๆขยันเยอะๆ เนี่ยแนวทางการแก้ปัญหาของคนแบบนี้มักจะมาจากการเดินออกไปค้นหาว่า ทำยังไงดีน้ออ ?? อาจจะจากที่ต่างๆ แต่มักจะเกิดจากการสืบค้นเอกสารจำนวนมากมากายกอง
แต่ คนแบบเรา (ดูมึงบูชาจังเลยนะ คนขี้เกียจเนี่ยฮ่ะ) แนวทางมักจะต่างออกไป เราไม่ไปเดินเปิดหนังสือ สืบค้น หรอก (เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะขี้เกียจออกไปไง) ส่วนใหญ่นั้นเรามักจะได้จากการไปถามคนอื่นแล้ว อาความคิดเห็นของคนอื่นมาปรับใช้ ให้เราทำงานน้อยที่สุด แต่ได้ผลมากที่สุด
ผมไม่ได้ว่าว่าคนขยันไม่ดีนะ (ก็ดูมึงเทิดทูลขนาดนี้) แต่ผมต้องการจะบอกว่า บางครั้งเราไม่จำเป็นต้อง Work Hard แต่เราต้อง Work ให้ Smart
ถ้าไม่เราเล่าให้ฟังก็คงนึกภาพไม่ออกน่ะสิ
ผมขอย้อนไปสมัยที่ผมอยู่ ม.1 (ย้อนไปไกลจังนะมึง มโนเยอะไปนะ) ตอนนั้นผมตกเลขครับ แล้วก็ต้องมาซ่อม ณ ตอนนั้นมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่เราจะมาซ่อมเลขในขณะที่เพื่อนเรากลับบ้านกันไปหมดแล้ว หลังจากวันนั้นผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า "เออทำไมเราไม่สร้างเครื่องคิดเลขเลยล่ะ ไม่อยากคิดแล้วโว้ย" หลังจากนั้นไม่นานผมก็สร้างมันขึ้นมาสำเร็จ (เออไอเก่ง) ตอนนั้นมันก็ทำได้แค่ป้อนตัวเลขแล้วกดคำนวณ (เครื่องคิดเลขโง่ๆนั่นแหละ) ผมสร้างไปเรื่อยๆจนตอนนั้นผมอยู่ ม.3 ผมก็คิดอีกว่า "เออเนี่ยเขียนฟังก์ชั่นนี้มาหลายครั้งแล้วทำไมเราไม่ทำให้เราเขียนแล้วเรียกใช้ใหม่ได้มั่งหว่า ??" หลังจากนั้นไม่นาน (ครึ่งปี ไม่นานบ้านใครว่ะ) ผมก็สร้างเป็น MathEngine ได้ในที่สุด จนปัจจุบันนี้ (ปี 2014) MathEngine ออกเวอร์ชั่นที่ 6 แล้วและก็ยังไม่ผู้ใช้งานอยู่อย่างเหนียวแน่นเหมือนเดิม


ผมหวังว่าความขี้เกียจของผมนั้นจะสามารถเป็นแรงบัลดาลใจของคนอีกหลายๆคนได้นะครับ
และนี้ก็คือ ความขี้เกียจกับแรงบัลดาลใจของผมครับ จบ !!! เข้าใจตรงกันนะ !!!