ไปถ่ายรูปรับปริญญาต้องเตรียมอะไรบ้าง ?

ช่วงนี้ก็เข้าสู่ช่วงที่คนที่กำลังจะจบจะได้มาถ่ายรูปก่อนงานรับปริญญากันแล้ว ผมเองก็เป็นคนนึง มีนัดหลายรอบไปหมด เพื่อนฝั่งนั้น เพื่อนฝั่งโน้น แตกรอบยิ่งกว่าญาติก็เพื่อนนี่แหละ วันนี้เลยจะมาแชร์กันว่า ก่อนวันที่เราจะไปถ่าย เราจะต้องเตรียมอะไรบ้าง เพื่อให้ไม่เป็นภาระของช่างภาพและตัวเอง ถถถ

หา Reference


ปิดไว้ ๆ เพราะเขาไม่ได้จ่าย !! แต่ถ้าอยากจ่ายก็เชิญได้นะ

ศิลปะคือศาสตร์ลึกลับ ที่ทำให้ช่างภาพแต่ละคนก็จะมีสไตล์ไม่เหมือนกัน บ้างก็มาสาย Dark บ้างก็สดใส ตอนที่เราเลือกช่างภาพ เราก็กรองคุณสมบัติอะไรไปหลาย ๆ อย่างแล้วละ แต่ถึงแม้ว่าเราจะเลือกช่างภาพที่ดูงานเก่า ๆ ของเขาแล้วมันมีความ คล้าย กับภาพที่เราต้องการแล้ว แต่พอถ่ายออกมาจริง ๆ มันก็ไม่เหมือนกับที่เราคิดไว้แน่นอน เริ่มต้นง่าย ๆ กับการหาโดยใช้ Google เหมือนกับที่เราใช้หาหนังโ_ ก็ได้ อาจจะเริ่มต้นด้วย Keyword อย่าง ถ่ายรูปรับปริญญาอะไรก็ว่าไป

via GIPHY

และแน่นอนว่าช่างภาพก็เป็นคน จะให้เขามาตรัสรู้ว่า เราต้องการรูปแบบไหนก็ใช่ที่ เพราะฉะนั้น เพื่อให้ได้ภาพที่เราอยากได้ เราก็ต้องบอกช่างภาพที่มาถ่ายให้เราว่า เราต้องการภาพประมาณไหน อารมณ์ประมาณไหน แต่อาจจะไม่ต้องถึงขนาดไปคิดให้ทั้งหมด ให้มีที่ว่างให้ช่างภาพได้สร้างสรรค์ เติมแต่งสไตล์ของเขาลงไปด้วย ด้วยความที่ก็ถ่ายรูปเหมือนกัน ถ้ามีคนมานั่งไกด์บอกว่าต้องปรับอันนี้เท่านี้ อันนั้นเท่านั้น ภาพที่ออกมามันจะแปลก ๆ มาก ฟิลลิ่งเหมือนกับ คนอื่นมาจับเราแต่งตัวอะ เราก็ไม่มั่นใจใช่ม่ะ ช่างภาพก็มีไม่มั่นใจเป็นเหมือนกัน

อีกเหตุผลที่เราต้องอธิบายให้ช่างภาพถึงความต้องการของเราแล้ว มันก็ยังมีประโยชน์เวลาเราถ่ายจริงด้วย เพราะเราเหมือนกับพอจะมีแนวทางในการจัดการ ทั้งตัวและชุดของเราให้มันเข้ากับสถานที่ที่เราถ่ายได้ดีขึ้น ทำให้การถ่ายทำได้เร็วขึ้น เร็วขึ้นแปลว่าเราสามารถถ่ายต่อวันได้เยอะขึ้นนั่นเอง

สำหรับคนแบบผมที่ไม่รู้มุมหน้าตัวเองเท่าไหร่ แนะนำให้ลองถามช่างภาพเลยว่า ควรจะหันยังไง ทางไหน เพราะบางที เราส่องกระจก เราก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าหมุนแต่ละมุมมันต่างกันยังไง อันไหนดูดีกว่า (สำหรับผมนะ)


ด้านซ้ายคือต้นฉบับ และด้านขวาคือหลังจาก Post-Processing โดยใช้ Google Photo

รูปเดียวกันแต่งออกมาแบบนึงก็จะได้อารมณ์นึง เปลี่ยนสีหน่อยก็เปลี่ยนไปอีกอารมณ์ได้ เพราะฉะนั้นการทำ Post-Processing (แต่งรูป) ก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่เราอาจจะต้องคุยกับช่างภาพ เพื่อให้แต่งออกมาในแบบที่เราต้องการด้วย อาจจะอธิบายด้วยการลองเล่าอารมณ์ของภาพที่เราต้องการจะสื่อ เช่น สนุก, เพื่อนเล่นกัน อะไรแบบนั้น เพื่อให้ช่างภาพสามารถเอาไปแต่งเพื่อทำให้ Story ของภาพมันมีมากขึ้นก็ได้ บางคนไม่มั่นใจสิวก็ให้เขาลบให้ก็ได้นะ (บางทีมันใหญ่จนแยกไม่ออกว่านี่ไฝหรือแผลเป็นจากสิว ถถถถถถ)

นอนพักให้พอ

คือวันนั้นคือ เราต้องเดินและยืนถ่ายรูปท่ามกลางแดดประเทศไทย เผาร้อน ๆ เป็นตอตะโกเลยละ ฉะนั้น การนอนให้เพียงพอก็เป็นการช่วยให้เรามีพลังในการรบกับแดดในวันที่เราไป มันก็จะช่วยให้เราสดชื่น เวลาถ่ายออกมามันก็จะดูไม่หมอง

พูดถึงหมองแล้ว ถ้าเรานอนดึกหลาย ๆ วันเนี่ย ลองสังเกตดูว่ามันจะหมอง ๆ อีกหนึ่งเหตุผลที่ควรจะนอนให้พอคือ หนังหน้า ก็เข้าใจแหละว่า นี่ปี 2018 กันไปแล้ว Photoshop มันก็รุ่งเรืองมากมาย แต่ก็นะ ถ้าหน้าเราหมอง ๆ มัน ๆ ถ่ายออกมาก็คงต้องสงสารช่างภาพที่ต้องไปแก้ วันนึงไม่ได้ถ่ายกัน 2-3 รูป น่าจะเปลี่ยนหน่วยเป็น ร้อยเลยละ เพราะฉะนั้น การนอนพักให้เพียงพอ นอกจากจะเป็นการทำให้เราพร้อมสำหรับแดดและอากาศร้อน (ที่ร้อนสาดด) แล้วยังทำให้หนังหน้าเรา Fresh ถ่ายออกมาก็จะสดใส เป๊ะเวอร์ได้

ดื่มน้ำให้เพียงพอ


ปิดชื่อ Brand ไว้ ๆๆ ไว้เขามาจ่ายเดี๋ยวค่อยเอาออก

ร่างกายเราประกอบด้วยน้ำกว่า 70% และเป็นส่วนประกอบหลักที่ทำให้ร่างกายเราทำงานได้อย่างปกติ เพราะฉะนั้น การทำให้ร่างกายเราไม่ขาดน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะการที่เราต้องออกไปเดินกลางแดดร้อน ๆ เหงื่อท่วมตัว คืออย่างครุยของผู้ชายที่มหิดลคือ ชุดนักศึกษาผูกไทด์ก็เฉย ๆ เมื่อมันต้องใส่สูทและทับด้วยครุยแล้วละก็มันหายนะเป็นบัณฑิตอบได้เลย กลางวันคือถอดสูทกับครุยออกมา จากเสื้อนักศึกษาตอนใส่ตอนแรกมันขาว ๆ ออกมานี่แทบจะกลายเป็นใสไปเลย

ดังนั้นวันไหนที่ออกไปถ่ายก็แนะนำให้ พกขวดน้ำติดไปและจิบบ่อย ๆ ด้วยจะดีมาก ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นรึเปล่า เวลาถ้ามันรู้สึกแห้ง ๆ มาก ๆ มันจะอารมณ์ไม่ค่อยดี เช่นตอนหิวน้ำอะไรแบบนั้น กับอีกจุดที่สังเกตตัวเองมาคือ ถ้าวันไหนที่นั่งทำงานแล้วไม่ได้จิบน้ำไปด้วยหน้าจะมันกว่า วันที่นั่งทำงานแล้วจิบน้ำไปด้วย เลยทำให้มีความเชื่อแปลก ๆ ว่าไปไหนเราก็ควรจะจิบน้ำบ่อย ๆ

จัดการหนังหน้า (Optional)


อันนี้เขาก็ไม่ได้จ่ายเหมือนกัน แต่เราจ่ายเอง ฮื่อ ๆๆๆ

ด้วยความที่ที่ผ่านมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีทั้งงานและเหตุการณ์หลายอย่าง ที่ทำให้เครียดและนอนน้อยมาก ทำให้หน้าผมช่วงนั้นก็จะมัน ๆ หมอง ๆ หน่อย ไหน ๆ ก็จะไปถ่ายรูปแล้ว ไม่อยากให้เป็นภาระของช่างภาพเลยอะได้ !! ก็เลยเริ่มนอนให้เป็นเวลา (ที่สุดท้ายก็ทำไม่ได้) จิบน้ำให้บ่อยขึ้นหน่อย (ก็ไม่เคยทำได้เช่นกัน) เลยทำให้ไปพึ่งพาแผ่นมาร์คหน้า เฮ้ยแกมันช่วยได้นะ มันไม่ได้ทำให้หน้าเราขาวขึ้นอะไรขนาดนั้น แต่มันทำให้หน้าเราดูอิ่ม (ไม่ใช่เหมือนตอนกินข้าวเสร็จนะ) มันดูสุขภาพดีขึ้นจริง ๆ เวลาถ่ายรูปออกมามันก็จะดูไม่หมองมาก ช่างภาพก็แต่งรูปง่ายขึ้น หรือผู้หญิง มาร์คบางชนิดจะช่วยในการทำให้เครื่องสำอางติดได้แน่นขึ้นด้วยนะ

บอกเลยว่า Sunscreen is a must !! เพราะเราต้องออกไปเจอแดดแบบ SPF เท่าไหร่มันก็ไม่พออะ เกรียมได้เลย ก็ทาสักหน่อยรักษาหนังหน้าเก็บไว้ถ่ายในวันต่อไปเถอะนะ แต่ก็อย่าล่อพอกไปเยอะละ ถ่ายออกมาหน้ามันย่องก็ไม่รับผิดชอบนะ 🤨

ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องของ Appearance ที่จะถูกถ่ายกันไปแล้วอย่างนึงนั่นคือ หน้า อีกอย่างก็คือ ผม ใช่ฮ่ะ เส้นผมของเรานี่แหละ เพราะมันก็เป็นอีกจุดที่ถ่ายแล้วชัดมาก ยิ่งกว่าหน้าอีก ลองคิดดูนะฮ่ะว่า ถ้าหน้าเรามีสิวนิดหน่อย ช่างภาพก็สามารถไปลบออกในโปรแกรมแต่งภาพได้ แต่ถ้าทรงผมมันไม่เป็นทรง มั่ว ๆ พัง ๆ นี่มันแก้ยากมากเลยนะ เผลอ ๆ บางเคสก็ไม่ได้ด้วย ฉะนั้นก็อย่าสนใจแต่หนังหน้า รบกวนสนใจผมตัวเองด้วย

เช็คสภาพอากาศ

จัดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเลยก็ว่าได้ ใครจะอยากเอาช่างภาพมาถ่ายวันที่ฝนตกละใช่ม่ะ เพราะมันถ่ายอะไรก็ไม่ได้ แสงมันก็หายหมด เพราะเมฆปังเรียบ กับพอฝนตกก็ถ่ายไม่ได้ ฝนหยุดออกมาก็เปียกอีก มุมที่คิดไว้ก็อาจจะถ่ายไม่ได้อาจจะต้องเปลี่ยน แพลนที่ว่างไว้มันก็จะพัง ทำอะไรก็ลำบากขึ้นไปอีกมากมาย ผู้หญิงบางคนแต่งหน้าทำผมมาเจอฝนนี่ยังไงไม่รู้เหมือนกันนะ 🤪


นี่คือรูปจริงในวันที่ไปถ่ายมา

เล่าที่เจอมากับตัวละกัน คือก็ไปถ่ายรูปกับช่างภาพนี่แหละ แล้วคือบ่าย ๆ ฝนตกโอเคเรื่องถ่ายไม่ได้นี่มันรู้อยู่แล้วละ เว้นแต่จะไปเดินกลางสายฝนแล้วถ่าย แต่สิ่งที่ตามมาจากฝนตกคือ เลอะ คือนอกจากฝนจะสาดแล้วก็ไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อเราไปเจอดินทรายตามทางนี่มันไม่เป็นมิตรต่อชุดที่เราใส่อยู่เลยนะ ยิ่งมันใหญ่ ๆ ยาว ๆ แล้วเนี่ยคุมมันยากมากให้มันไม่ไปโดนโน้นนี่นั่น คือถ้ามันแห้งโดนไปมันก็สะบัด ๆ ได้ไง หนักกว่านั้นคือ เวลาฝนตกมันจะเพิ่มความชื้นในอากาศมาก ๆ เหมือนที่เราเรียนกันมาตอนมัธยมต้นอะ ด้วยครุยที่ใส่เพื่อจะถ่ายต่อและอากาศที่ชื้น ๆ อบอ้าว มันจะเหนียว ๆ หงุดหงิดมาก ๆ จนเริ่มแยกไม่ออกละที่เปียก ๆ นี่คือ เหงื่อตรู หรือฝนที่โดนสาดเมื่อกี้ 😭


Weather Forecast from Accuweather

ดังนั้นการเช็คสภาพอากาศสัก 1-2 วันก่อนออกไปถ่ายก็จะช่วยเราได้ เพราะถ้าฝนตกมันก็ไม่น่าออกมาถ่ายใช่มั้ยล้าา หรือถ้าเช็คแล้วว่าฝนไม่ตก ก็ต้องดูด้วยว่าอุณหภูมิมันร้อนแค่ไหน แนะนำให้ไปดูใน App ที่มันมี RealFeel จะช่วยได้มาก เพราะมันใช้ค่าอื่น ๆ มาคำนวณ เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เราน่าจะรู้สึกจริง ณ วันที่เขียนมันเขียน มันบอกว่า สูงสุดอยู่ที่ 30 แต่ RealFeel มันอยู่ที่ 37 คืออบอ้าวมากเลยนะ ที่บอกให้ดูอุณหภูมิเพื่อที่เราจะได้สามารถเตรียมของไปได้ถูก

อีกจุดที่ควรจะดูคือ เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตก ขึ้นเนี่ยไม่เท่าไหร่ เพราะเราไม่น่าจะมาถ่ายตอนที่มันขึ้นแน่ ๆ (มั่ง) เพราะมันจะมีผลต่อแสงที่เราจะได้จากช่วงเวลาต่าง ๆ อย่างที่เรารู้กันว่า พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก และไปตกในทิศตะวันตก พระอาทิตย์อยู่ต่างองศาทิศกัน แสงที่เราได้ก็จะต่างกันมาก อย่างถ้าเราออกไปถ่ายที่แจ้งตอนเที่ยงตรงนี่หน้าจะดำมาก เพราะพระอาทิตย์จะอยู่เหนือหัวเราะพอดี ทำให้หน้าเราก็จะเป็นเงา พอถ่ายออกมาก็จะมืดในที่สุด (จริง ๆ มันก็มีวิธีแก้คือใช้ Flash ในกรณีที่มืดมาก ๆ หรือตบ Reflex ได้ แต่อันนี้เก็บไว้ให้ช่างภาพคิดเถอะ แค่แกใส่ชุดเดินถ่ายก็เหนื่อยแล้วเชื่อสิ !!!) แต่สิ่งที่ควรสนใจจริง ๆ คือ เวลาที่พระอาทิตย์จะตกมากกว่า เพราะถ้าเราวางแผนมาแล้ว มันเลยเวลาที่พระอาทิตย์ตกก็บาย หรือนิยมถ่ายรอบดึกมืด ๆ ก็เอาเลย

เตรียมของ

ก่อนออกไป เราก็ต้องเตรียมของให้พร้อม สิ่งนึงที่พึงระลึกไว้คือ อย่าเอาของไปเยอะ เพราะของทั้งหมดที่ถือไป ต้องถือมันเดินไปเดินมาไปทั่วเลยนะ ถ้าเอาไปเยอะนี่บอกเลยว่ากล้ามแกขึ้นแน่นอน ไม่ต้องแบกบ้านไปนะ โอเคนะ !! กับวัสดุที่ใส่ของก็รบกวนดูสภาพอากาศด้วย ไม่ใช่ว่ารู้ว่าวันนั้นฝนจะตกแล้วจะเอาถุงกระดาษรักษ์โลกไปละ ถุงพลาสติกบ้างก็ได้ หรือเห็นคนอื่นที่มาถ่ายเขาจะถือมาเป็นกระเป๋าลากเลยเว้ย เล่นใหญ่มาก

อย่างผมผู้ชายก็จะง่าย ๆ หน่อย สิ่งที่จะเอาไปคือ ครุย, สูท, กระเป๋าตังค์, โทรศัพท์, Powerbank, สายชาร์จ, น้ำ, และทิชชู่ (เมื่อวานก็ติดน้ำตาเทียมไปด้วย เพราะช่วงนี้ตาแห้งมาก) แค่นั้นเลย คือเอาไปแค่เท่าที่ใช้ แค่นี้ก็หนักแล้วอะโดยเฉพาะครุย ของมีค่าอย่าเอาไปเยอะมาก เพราะบางทีเราอาจจะต้องวางของทิ้งไว้อะไรแบบนี้หายขึ้นมาแล้วจะยุ่ง เช้ามานี่คือปวดแขนเลย หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจจะเยอะกว่าหน่อย เพราะอาจจะต้องโปกเครื่องสำอางทับระหว่างวันหน่อยก็ทำให้มีของเยอะขึ้นไปอีก

หรือถ้าอยากให้ง่ายกว่านั้นคือ เราก็ไปถามช่างภาพเลยว่า แผนของวันที่ไปถ่ายเป็นยังไงบ้าง ต้องเตรียมอะไรไปเป็นพิเศษมั้ย (ช่างภาพบางคนก็สนุก เตรียมของเล่นไปให้ไปเล่น เช่นฟองสบู่อะไรแบบนี้ก็มี) ต้องไปไหนบ้าง ก็เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่ช่วยให้เราเตรียมของได้พร้อมมากขึ้น ส่วนใหญ่การถ่ายรูปรับปริญญามันจะง่ายกับคนถูกถ่ายมาก เพราะส่วนใหญ่จะถ่ายกันในมหาลัยที่อยู่มานานก็น่าจะมีความคุ้นเคยกับสถานที่มากกว่าช่างภาพอยู่แล้ว (เว้นแต่ช่างภาพจะเรียนที่เดียวกัน นั่นก็อีกเรื่อง)

สรุป

การที่รูปออกมาสวย มันไม่ได้ขึ้นกับแค่ช่างภาพและอุปกรณ์ของเขาอย่างเดียว เพราะถึงแม้กว่า กล้องจะดีแค่ไหน ช่างภาพจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้า เรา ที่เป็นคนถูกถ่าย ไม่ให้ความร่วมมือแล้วละก็ภาพที่ออกมามันก็จะไม่สวย ดังนั้นทั้งตากล้องและคนที่ถูกถ่ายก็ต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างรูปที่ดีที่สุดเพื่อเก็บความทรงจำครั้งนึงเอาไว้ การเตรียมตัวที่ดีของคนถูกถ่ายก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เราได้ภาพที่ดีขึ้นนั่นเอง และอย่าลืมว่า เรามักจะจ้างตากล้องมาเป็น วันหรือครึ่งวัน ยิ่งเราจัดการตัวเองเร็วขึ้น เราก็จะมีเวลาไปถ่ายหลาย ๆ รูปมากขึ้นด้วย

ถัดจากนี้จะเป็นการบ่น ๆๆๆ


Neuron in Prince Mahidol Hall รูปนี้ถ่ายโดยใช้แค่ Pixel 2 XL เดินผ่านกดแซะ ไม่ได้ใช้กล้องอะไรอลัง ๆ และไม่ได้แต่งเลย

อันนี้ขอระบายหน่อยนะ ว่า บางทีเราอาจจะเห็นช่างภาพบางคนใช้กล้องตัวเล็ก ๆ แล้วก็ชอบคิดกันไปว่า ต้องไม่เก่งแน่ ๆ บอกเลยนะว่ามันไม่จริง กลับกัน การใช้กล้องใหญ่ ๆ แพง ๆ มันก็ไม่ได้แปลว่าจะถ่ายออกมาสวยเลย มันอยู่ที่ประสบการณ์ เคยเดินผ่านคนกระซิบว่าช่างภาพคนนั้นกล้องดูเล็กมากเลย น่าจะไม่เก่ง นี่เลยหันไป Sony A7R Mark II อื้ม !!! กล้องเล็ก ไม่ดีเลยจริง ๆ เนอะ หรือหนักกว่านั้นเห็นกล้องและเลนส์เล็ก ๆ ดูไม่โปร อ๋อ Leica เป็นแสน โว้ยยยอยากได้ !! สมัยนี้กล้อง Body เล็ก ๆ แค่ความสามารถอลังกว่า Body ใหญ่ ๆ ก็มีเยอะแยะ อย่าตัดสินกล้องที่ขนาดเลยนะครับ

นอกจากนั้นบางคนยังคิดว่า ถ้าเราซื้อกล้องแพง ๆ ก็จะสามารถถ่ายได้เหมือนช่างภาพ ซึ่งอันนี้ในฐานะของคนที่ถ่ายรูปบอกเลยว่า ไม่จริง อุปกรณ์ ผมว่ามันเหมือนเป็น Amplifier มากกว่า มันช่วยขยายความสามารถของคนที่ใช้มันให้มีความหลากหลายในการถ่ายได้มากขึ้นเท่านั้นเอง เพราะส่วนที่สำคัญคือการจัดองค์ประกอบภาพ เราอาจจะเคยเจอแบบใช้กล้องแพงมาก แต่ถ่ายออกมา มันถ่ายตัดแขน ตัดขา เละเทะไปหมด การจัดองค์ประกอบภาพ และการเล่าเรื่อง บอกเลยว่าเป็นอะไรที่ เงิน ไม่สามารถซื้อได้ มันต้องอาศัยการเก็บ ประสบการณ์ ล้วน ๆ เพราะฉะนั้น มันไม่จริงเลยที่ถ้าเราจะซื้อกล้องแพง ๆ แล้วจะถ่ายได้เหมือนกับช่างภาพมืออาชีพ เหมือนกับที่ Apple เอา iPhone ไปให้ช่างภาพของ National Geographic ถ่าย ออกมาเชี้ย !!! นี่ถ่ายจากโทรศัพท์จริงเหรอฟร๊ะ !!