Google I/O 2018 Keynote Wrap-up #io2018

Google I/O 2018 Keynote ก็ผ่านไปแล้ว ปีนี้ก็เป็นเหมือนปีก่อน ๆ ที่ Google จะเอาของเล่นใหม่ ๆ มาอวดของให้กับนักพัฒนาไปสร้างของเล่นให้กับผู้ใช้ต่อไป

ปีนี้ก็เป็นอีกปีที่ Google เอา AI มาอวดของกันมามายไปหมด จนทำให้ AI กลายเป็นเหมือน Backbone ใน Google Ecosystem กันไปเลยทีเดียว ของแต่ละอย่างที่เอามาโชว์ก็ทำให้อึ้งกันไปตาม ๆ กันว่า AI มันทำแบบนี้ได้แล้วเหรอ หลังจากได้ดูมา ในบทความนี้เลยจะมาสรุปกันว่า ใน Keynote ของงาน Google I/O 2018 ที่ผ่านมามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง

Cheese Burger ตำบลท่าแซะ

เปิด Session มาด้วย Keynote จาก Sundar Pichai, CEO of Google ที่มาพูดถึงบัคที่อยู่ใน Core Product ของ Google ในช่วงปีที่ผ่านมาคือ Emoji ของ Cheese Burger ที่การเรียงของชีสมันผิดไปหน่อยจนทำให้คนออกมาบ่นกัน ฮ่า ๆ ซึ่ง Google ก็ได้ทำการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจาก Cheese Burger แล้ว Beer ก็สร้างความฮ่าได้เหมือนกัน ที่มันไม่เต็มแก้ว แต่ฟองดันล้นออกมา มันก็ดูออกจะผิดกับโลกแห่งความเป็นจริงไปสักหน่อย ก็เหมือนจะพูดเอาฮ่า กับแซะหน่อย ๆ แหละ

กับพูดถึงเรื่องของ AI ที่มันเข้ามช่วยแก้ปัญหาหลาย ๆ ปัญหาให้กับคนทั่วโลก พร้อมกับเกริ่นย้อนกลับไปในงาน I/O เมื่อปีที่แล้วที่เปิดตัว Google AI และมีการยกตัวอย่างหลายตัว แต่ตัวที่น่าสนใจกับผมมากคือ การตรวจโรคเบาหวาน โดยใช้ Deep Learning ในการช่วยหมอในการ Predict มาในปีนี้มีความก้าวหน้าในงานนี้มากขึ้น

Gmail Smart Compose

หลาย ๆ คนที่ใช้ Gmail ในเว็บก็น่าจะเคยได้ใช้อะไรที่เรียกว่า Smart Reply ที่เวลาใครอีเมล์มาหาเราแล้ว มันจะมีปุ่มตอบอยู่ด้านล่างที่ Gmail จะไปอ่านอีเมล์ฉบับนั้นแล้วจะ Predict คำตอบที่เราน่าจะตอบมาให้เรากดแล้วมันก็จะส่งได้เลย

มาในปีนี้ Google เล่นใหญ่เหนือกว่านั้นอีกโดยเขาเรียก Feature นี้ว่า Smart Compose ที่จะช่วยเราเวลาเราเขียนอีเมล์ โดยเวลาที่เราพิมพ์อีเมล์มันจะ Suggest ประโยคที่เราน่าจะพิมพ์ต่อไป เช่นในตัวอย่าง แค่เราใส่ปลายทางลงไป เมื่อเราเอา Cursor ไปวางอยู่มันก็จะ Suggest ว่า Dear แล้วก็ชื่อของผู้รับได้เลย โดยเราก็สามารถกด Tab เผื่อเอา Suggestion นั้นลงไปในอีเมล์ได้เลย โดยที่ไม่ต้องพิมพ์ มันทำให้เราสามารถเขียนอีเมล์ได้เร็วขึ้นแบบสายฟ้าแลบ

และแน่นอนว่า Feature นี้จะเปิดให้กับผู้ใช้ Gmail ในอีกไม่กี่อาทิตย์ และสำหรับ G Suite เช่นเมล์ของมหาลัยผมที่เป็น .edu ของ Google ก็จะมาในอีก 1-2 เดือน

Google Photo ตีบวก

Google Photo เป็น App สำหรับจัดการรูปภาพบน Cross-Platform อย่าง PC, iOS และ Android ที่มันเก่งมาในการค้นหาและรูป มาในปีนี้ Google ได้ยกระดับความโหดสัสรัสเชียขึ้นไปอีกขั้นโดยการเพิ่มลูกเล่นอย่างการแยก Background และ Foreground ออกจากกันแล้วเปลี่ยนในสีใน Background เป็นขาวดำได้ หรือ Smart Action ที่จากเดิมทำได้แค่หาหน้าในรูปแล้ว Suggest ว่าจะแชร์รูปไหนให้ใครบ้างมาตอนนี้คือ มันสามารถที่จะ Suggest ว่าควรจะแก้แสงสีตรงไหนบ้างได้หมดเพียงแค่ User กด Fix Brightness หรือ Fix อะไรอย่างอื่นก็ว่ากันไป เพื่อให้ได้รูปที่สวยได้ง่าย ๆ

หลัก ๆ แล้วปัจจุบันผมก็เป็นอีกคนที่ใช้ Google Photo เป็น App หลักในการจัดการรูปอยู่แล้ว พอมาเจอแบบนี้เข้าไปนี่รักเลย อย่างแรกคือมันได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ นะ ถึงแม้ว่าผมจะเป็น Power User ที่ชอบแก้โน้นแก้นี่เอง แต่มันก็มีบางที ที่เราไม่อยากยุ่งยาก อยากแค่ถ่ายแล้วแก้นิดหน่อยแล้วแชร์เลยก็มี Feature พวกนี้แหละมันจะมาช่วยเราให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากขึ้น

ในเชิงของ Image Processing แล้ว การที่มันสามารถ Detect อะไรได้แบบนี้ถือว่าเป็นอะไรที่มันสนุกมากนะ ทั้งเรื่องของการที่มันสามารถแยก Background กับ Foreground เองได้ ก็จัดว่าเป็นปัญหานึงในเรื่อง Image Recognition ที่ยากมากพอสมควรในปัจจุบัน

Google Assistant

มาถึงสิ่งที่เหมือนจะเป็นพระเอกของงานนี้เลยก็ว่าได้ (ในใจผมอะนะ) คือบริการผู้ช่วย AI ส่วนตัวอย่าง Google Assistant เป็นบริการที่ผมใช้งานมันบ่อยมากตัวนึง ตั้งแต่ตื่นนอนยันนอนอีกวันนึงเลย

แต่ที่ผ่านมา Google Assistant มีเสียงให้เราเลือกอยู่ไม่กี่แบบเท่านั้น กับบางคนอาจจะไม่ชอบสักเสียงที่มีิอยู่ตอนนี้ไปเลย ซึ่งมาในปีนี้ Google ก็ได้เปิดให้พวกเราได้เลิือกเสียงได้เพิ่มขึ้นอีก 6 เสียงด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเสียงของ John Legend โอ้แม่เจ้าโว้ยยย ถ้าใครเป็นแฟนคลับของ John Legend ก็คงจะตื่นเต้นไม่เบาที่ John Legend จะมาช่วยเป็นเลขาส่วนตัวของเรา นอกจากนั้นเรื่องของภาษาที่รองรับ Google สัญญาว่าจะรองรับ 30 ภาษาภายในสิ้นปี 2018 นี้

ในปีนี้ Google เองก็มาขายความเป็นธรรมชาติของ AI สุด โดยเริ่มจาก Feature ที่เรียกว่า Continued Conversation ที่จะทำให้ Google Assistant สามารถโต้ตอบกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติมาขึ้นโดยการที่เวลามันตอบกลับมาแล้ว เราต้องการจะถามต่อ เราไม่จำเป็นต้องพูด Hey Google เพื่อเป็นการ Activate อีกต่อไปแล้ว เราสามารถพูดต่อไปได้เลย

นอกจากนั้นเผื่อความ Smooth ปรูดปราดมากขึ้น Google ยังเพิ่ม Feature ที่ทำให้มันสามารถรับคำสั่งหลาย ๆ คำสั่งได้ในประโยคเดียว ส่วนตัวผมมองว่ Feature นี้เป็น Feature นึงที่น่าสนใจในเรื่องของ NLP ที่เราทำให้เครื่องสามารถเข้าใจได้แล้วว่า นี่มันคือประโยคคำสั่งเดียวกัน เช่น

ปิดไฟที่ห้องครัว และ ห้องนอน

หรือเป็นประโยคหลายคำสั่งเช่น

ปิดไฟที่ห้องครัว และ ล๊อคประตู

ที่เราจะเห็นว่า การแยกความหายของ 2 ประโยคนี้มันไม่ได้ง่ายเลย ทั้งที่มีคำว่า และ เหมือนกัน แต่เราจะสอนเครื่องยังไงว่า 2 ประโยคที่มีคำว่า และ อยู่มันจะต่างกันได้ เลยทำให้ผมรู้สึกว่า Feature นี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก

อีก Feature นึงที่จะถูกเพิ่มเข้ามาใน Google Assistant คือ Pretty Please ที่จะช่วยสอนให้เด็กเรียนรู้การใช้ภาษาที่สุภาพมากขึ้นโดยมีการชมเมื่อเด็กสั่งประโยคที่มีความสุภาพลงไป จริง ๆ แล้วเรื่องของเด็กกับเครื่องก็มีงานวิจัยหลายเจ้ามาก อย่างที่เคยอ่านมา จำไม่ได้แล้วว่ามาจากไหน จำได้แค่ว่าเป็นของญี่ปุ่นที่บอกว่า เด็กมักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวกับหุ่นยนต์มากกว่าคน ทำให้เด็กเรียนรู้พฤติกรรมแล้วติดไปใช้งานในชีวิตประจำวันอะไรนี่แหละ ก็เลยเชื่อว่า Feature นี้จะเป็นอีกแรงที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะใช้ภาษาที่สุภาพมากขึ้น

Smart Display ผู้หายสาบสูญ

Smart Display ดูจะเป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่ามันเงียบมากในปีที่ผ่านมา (หรือมันไม่ดังในไทย เพราะไม่มีขาย?) ที่หลังจาก Google เปิดตัวไปแล้วก็เงียบหายจ้อย ~ เอ้าเสียงกามา ! มาตอนนี้คือ จะมีการผนวก Google Assistant ลงไปใน Smart Display ด้วย เพื่อให้ User สามารถค้นหาข้อมูลได้โดยตรงจาก Smart Display เลย

Google Duplex นักนัดสายเถื่อน

ตอนนี้ Google บอกว่า Google Assistant คือผู้ช่วยของเรา แต่ถามว่ามันช่วยเราขนาดนั้นเลยเหรอ ก็คงตอบว่าไม่ขนาดนั้น แต่มันจะพีคแค่ไหน ถ้า Google Assistant จะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเราได้มากยิ่งขึ้น โดยการที่มันสามารถโทรไปจองโต๊ะอาหาร และร้านทำผมได้ (จากในตัวอย่างในงาน) ย้ำนะว่า โทรไป คือมันต้องโต้ตอบกับ คนจริง ๆ

คือดูครั้งแรกก็อุทานแรงมาก อย่างแรกคือเพราะเทคโนโลยี Text-to-Speech สร้างสร้างเสียงที่คล้ายคนพูดจริง ๆ ได้เนียนมาก ๆ ผมว่าถ้าผมได้รับโทรศัพท์จองอะไรแบบนั้นก็คงไม่รู้เหมือนกันว่านั้นเครื่องเป็นคนคุยกับเรา นอกจากนั้นมันยังสามารถคุยแล้วให้การโต้ตอบในภาษาธรรมชาติได้แนบเนียนมาก อย่างในการสาธิตมันจะมีประโยคนึงมันประกอบด้วยคำว่า Today ? Tonight ? ที่รู้สึกว่า การจะทำให้เครื่องสามารถตีความ และเข้าใจภาษาแบบนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แน่นอนว่ามันดุขนาดนี้ Google ยังต้องมีการปรับปรุงอีกเยอะมาก ยังไม่เปิดให้ใช้เร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน แต่ในช่วงเริ่มต้น Google บอกว่าจะเป็นการโทรไปตามธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสอบถาม Working Hour ในการเอาข้อมูลมา Update Profile ของธุรกิจที่เรา Search ได้

Google News powered by AI

Google News รู้สึกเหมือนมันจะเคยเข้ามาอยู่ในชีวิตเราสักพักนะ แล้วมันก็หายไปเมื่อไหร่ไม่รู้กลายเป็นมาอ่านผ่าน Filpboard กับเข้าเว็บตรง ๆ แทน ในปีนี้ Google ก็ได้จับ Google New มา Refresh ใหม่ โดยที่ AI จะเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ Content แล้วพยายามที่จะเลือก Content นำเสนอเรา เช่นถ้ามันเจออะไรที่เราน่าจะสนใจ มันก็จะเอามาแสดงให้เรา ทำให้เราได้อ่านอะไรที่หลากหลายมากขึ้น

ส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นอะไรที่ก็ไม่เลวนะ เพราะปกติแล้ว เวลาเราอ่านข่าว เราก็จะอ่านอยู่แต่กับเรื่องเดิม ๆ หมายความว่า เช่นเราอ่านข่าวที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อยู่เราก็จะได้อ่านแค่ข่าวที่เป็นวิทยาศาสตร์ ในขณะที่โลกเรามันก็มีเรื่องอื่นอีกมากมายที่กำลังเกิดขึ้นอะไรทำนองนั้น Google News มันก็จะทำให้เราอ่านข่าวได้หลากหลายมากขึ้น

Android P

แน่นอนว่า Google I/O หลาย ๆ คนก็คาดหวังแน่นอนว่า Android ตัวใหม่จะออกมา ปีนี้ก็มาตามคาดคือ Android P โดย Theme ในปีนี้ Google เน้นไปที่ 3 จุดให้กับ Android P คือ Intelligence, Simplicity และ Digital wellbeing

Intelligence

Feature แรกของด้านนี้ Google ได้ทำงานร่วมกับ DeepMind ที่ทำ AlphaGo ในการสร้าง Feature ที่ชื่อว่า Adaptive Battery ที่จะใช้ Machine Learning ในการดูว่า App ตัวไหนที่เราใช้มันบ่อยและไม่บ่อย มันก็จะพยายามจัดการ App ที่เราใช้บ่อยให้เป็น Prioity และที่ไม่บ่อยก็พยายามที่จะให้มันทำงานใน Background น้อยลง ทำให้เราสามารถประหยัด Battery ได้มากขึ้น เพราะเครื่องโทรศัพท์เรารันเฉพาะสิ่งที่เราใช้งานจริง ๆ ในแต่ละวัน

Feature ถัดมาคือ Adaptive Brightness ที่ใช้ AI เหมือนกับอันแรก แต่อันนี้จะเข้ามาช่วยเราปรับความสว่างของหน้าจอให้เข้ากับเรา ย้ำนะว่า เข้ากับเรา โดยเวลาที่เราเลื่อนความมสว่างของหน้าจอ เครื่องมันก็จะใช้ AI ในการเรียนรู้ว่า สว่างแค่ไหนเราถึงจะพอใจ ทำให้เวลาเราใช้งานเราก็จะไม่แสบตาอีก ฮ่า ๆ จริง ๆ

Slices เป็นอีกหนึ่ง Feature ที่อนุญาติให้นักพัฒนา ซอย App ของตัวเองออกมาได้ ที่สามารถแสดงผลได้ในหลาย ๆ ที่เช่นผลการค้นหาในหน้า Search ต่าง ๆ

Simplicity

ในด้านนี้ Google ก็ได้โชว์ปุ่ม Navigation ที่เปลี่ยนไป ที่เราสามารถเลื่อนขึ้นเพื่อเปิด App Switcher และเลื่อนขึ้นอีก Step ก็จะเป็น App Drawer กับเราสามารถเลื่อนซ้ายขวา เพื่อเป็นการสลับ App แบบไว ๆ ได้ ให้อารมณ์เหมือน iPhone X เลย ขาดเลื่อนขึ้นตอนอยู่ใน App เพื่อกลับไปหน้าแรก ฮ่า ๆ

Digital wellbeing

เรื่องของ Digital Wellbeing เป็นเรื่องที่ Google ค่อนข้างจับมาเป็น Theme หลักมาก ๆ ในปีนี้ เริ่มด้วย Dashboard ที่แสดงว่า เราใช้ App นี้นานเท่าไหร่ เรา Unlock โทรศัพท์เรากี่ครั้งต่อวัน อารมณ์เหมือนกับการสร้าง Awareness ให้กับ User มากกว่าว่า วันนึงเราใช้โทรศัพท์มากขนาดไหน

Do not disturb mode ที่ถูกตีบวกขึ้นไปอีกขั้น ที่จะปิด Notification ทุกชนิด ยันบนหน้าจอที่มันเด้ง ๆ เลย เพราะตอนนี้ถ้าเราเปิด Do not disturb mode เวลามี Notification มามันจะไม่สั่น ไม่มีเสียงนะ แต่ถ้าเราอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มันจะมี Card เด้ง ๆ ออกมา ทำให้รำคาญสุด กับอีก Feature นึงชื่อ Shush ที่จะเปิด Do not disturb mode เวลาที่เราคว่ำโทรศัพท์ลง

และอีก Feature ที่ผมรู้สึกตลกคือ wind-down mode ที่เข้ามาแก้ปัญหาคนที่ชอบตื่นมาเช็คกับเล่นโทรศัพท์ยามค่ำคืน แบบคนอย่างผมได้ดี โดยมันจะเปลี่ยนหน้าจอทั้งหมดให้เป็นขาวดำให้หมด แล้วเช้ามามันก็จะเป็นสีเหมือนเดิม

และแน่นอนว่า Android P ตอนนี้ได้เปิดให้กับผู้ใช้สามารถ เข้ามาทดลองใช้ในรูปแบบของ Beta ได้ ตั้งแต่วันนี้เลย โดยเราสามารถโหลด Rom มา Flash ได้เลย (เดี๋ยวจะ Install แล้วมา Review เต็ม ๆ อีกที) โทรศัพท์ที่รองรับก็จะเริ่มตั้งแต่ Pixel และ Flagship ของ Brand ดัง ๆ ต่าง ๆ ส่วนตัวเต็มจริง ๆ เขาว่าจะมาช่วงปลาย ๆ Summer (ก็คือช่วงปลาย ๆ September ป่ะ?)

Google Maps

ใน Google Maps มีการเพิ่ม Tab ที่ชื่อว่า For You จะแสดงธุรกิจในระแวกเราเช่นร้านอาหาร ร้านขายของอะไรทำนองนั้น ที่กำลังเป็นที่นิยม และ Your Match ที่จะแสดงสถานที่ที่เราน่าจะอยากไป

ที่ชอบจริง ๆ คือ เราสามารถที่จะหาร้านต่าง ๆ สมมุติว่าเราจะไปกินข้าวกับเพื่อน แล้วก็หาร้านไป ปกติเราอาจจะต้องเอามาคุยใน Line หรือ Facebook ว่าจะไปร้านไหนดี แต่มาตอนนี้เราสามารถ Pin ร้านที่เราสนใจลงใน Short List แล้ว Share Short List นี้ให้กับเพื่อนของเราได้ แล้วเพื่อนเราก็สามารถเลือกหรือโหวตร้านที่เรา Pin ลงไปใน Short List ได้ด้วย ดูเหมือนจะเป็น Feature เล็ก ๆ แต่มันก็คนจริงอยู่นะ แก้ปัญหา "มึง ๆ กินไรดี ?" ได้อย่างดี

Computer Vision

เรื่องเกือบสุดท้ายเป็นเรื่องราวของ Computer Vision ที่มันเก่งขึ้นอย่างรุนแรง ในงานยกตัวอย่างด้วยเรื่องของ เข็มทิศที่บางทีเวลาเราใช้ Google Maps วิธีที่ที่เราจะรู้ว่า เราอยู่ในทิศที่ถูกต้องรึเปล่า คือเราก็เดินแล้วดูว่าจุดมันขยับไปในทางที่ถูกรึเปล่า ดูตลกใช่ม่ะ แต่เอาจริง ๆ ตอนนั้นผมก็ขำ เพราะตัวเองก็ทำเหมือนกัน

Google เลยนำเสนอสิ่งที่เรียกว่า Visual Positioning System หรือ VPS โดยเราเอาโทรศัพท์ส่องตึกรอบ ๆ แล้ว VPS เนี่ยสามารถอ่านภูมิประเทศ ตึกรอบ ๆ แล้วสามารถทำให้เรารู้ได้ว่า เราอยู่ตรงทิศไหนอยู่ เอาฮ่ากว่านั้น ก็มีการเอา Fox มาเติมลงไปเพื่อบอกทางด้วย เก๋ ๆ

นอกจากนั้นเทคโนโลยี OCR ก็พีคขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้เราสามารถเอาโทรศัพท์เราไปส่องที่ข้อความแล้วสามารถ Copy ข้อความที่เราเห็นผ่านภาพได้ทันที เช่นว่าเราเอาเบอร์หมอฟันแปะไว้ที่ตู้เย็น แล้วเราก็เอาโทรศัพท์ไปส่อง Copy แล้วโทรได้เลย ไม่ต้องมาเพ่ง 0 2 1 3 4 อะไรก็ว่ากันไป (คนที่มีสายตาไม่ปกติก็น่าจะเข้าใจดีว่า มันลำบากในการอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ)

หรืออีกตัวอย่างที่ Google เอามาโชว์คือ เราสามารถเอาโทรศัพท์ของเราส่องไปที่สินค้าที่เราสนใจแล้วมันจะแสดงราคา และ Review ออกมา นอกจากนั้นกับเรื่องของการซื้อเสื้อผ้าก็สามารถเอาเสื้อผ้าที่เราอยากลองมาทาบกับตัวเราได้อีกด้วย การที่จะทำแบบนั้นได้ Google Lens จะต้องทำให้ตัว App สามารถที่จะ ทำงานได้แบบ Realtime ได้ จากตอนนี้คือเราต้องมีรูปภาพมาแล้วกดเรียก Google Lens เพื่อให้มันวิเคราะห์แต่มาตอนนี้เราสามารถทำได้แบบ Realtime เลยเอากล้องเดินส่องได้เลย ซึ่ง Feature พวกนี้กำลังจะมาให้เราใช้กันในเร็ว ๆ นี้

Waymo - Self-driving taxi

สุดท้ายสุดจบด้วย Session จาก John Krafcik CEO ของ Waymo มาพูดถึงเรื่อง Self-driving taxi ที่มาเล่าให้ฟังถึงเรื่องของการสร้างรถที่ขับเองได้ และใน Session เดียวกันก็มีพูดถึงเรื่องของการใช้ AI กับการทำ Self-driving car อีกด้วย

เช่นอุปสรรค์ในเรื่องสิ่งกีดขวางแบบต่าง ๆ และสภาพอากาศอย่างเช่น หิมะตก ฝนตก เป็นต้น ดูครั้งแรกคือ เฮ้ยยยยยย ทำไมโหดจังฟร๊ะ !!!

สรุป

Google I/O 2018 นี้จัดว่าเป็นอีกปีที่ผมรู้สึกว่า ว้าว กับงานนี้มาก แต่ Feature หลาย ๆ อย่างที่นำเสนอออกมาอาจจะไม่ได้ดูว้าวเท่าไหร่ในสายตาของผู้บริโภคขนาดนั้น แต่ถ้าลองคิดดี ๆ หลาย ๆ อย่างที่นำเสนอออกมามันสามารถที่จะแทรกเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้ดีมาก ๆ ตั้งแต่ตัว Android เองหรือเรื่องของ Computer Vision ที่จะเข้ามาทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับการสร้างความเป็นมิตรให้กับ AI ที่คนบางคนอาจจะไม่ชอบการโต้ตอบกับ AI เพราะมันดูไม่เป็นธรรมชาติ ในปีนี้ Google ก็ดูมีความพยายามที่จะทำให้ช่องแคบระหว่างคนกับ AI ลดลงผ่านการทำให้ AI สามารถโต้ตอบกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ไม่ได้พูดถึงอีกเช่นเรื่อง TPU และ ML Kit ที่เป็นของเล่นในนักพัฒนามีตัวเลือกในการพัฒนา Application มากขึ้นไปอีก ในงานก็มีอีกหลาย Session ให้เราสามารถเข้าไปดูได้ผ่าน Youtube ด้วยนะ ลองเข้าไปดูได้ สำหรับวันนี้สวัสดี ~

ปล. ถ้าอยากได้อีกอารมณ์นึงแนะนำให้ไปอ่านใน Live Blog นะ