iPad WiFi + Cellular เพิ่มเงินอีก 5 พันกว่าบาท คุ้มกว่าที่คิด
เมื่อก่อน เวลาเราแนะนำ iPad ให้ใคร เราจะไม่แนะนำให้เพิ่มเงินไปเล่นรุ่นที่มี Cellular เลย เพราะ ถ้าพูดถึงเรื่องของ Feature การเข้า Internet เราก็สามารถใช้ Hotspot Sharing ออกจากโทรศัพท์ของเราได้เลย จนวันนี้แหละที่เรารู้ละว่า การเพิ่มเงินเพื่อเอา Cellular เออคุ้มแฮะ วันนี้เราจะมาเล่ากันว่า มันคุ้มกว่าอย่างไร
iPad WiFi + Cellular เพิ่มเงินเท่าไหร่ ?
ถ้าเราไปดูในเว็บของ Apple เอง iPad ทุกรุ่นเลย ถ้าเรา Upgrade จาก WiFi เป็น WiFi + Cellular จะเพิ่มเงิน 5,500 บาท แต่จะมี iPad Pro ที่จะเพิ่มแค่ 5,000 บาทเท่านั้น
ทำให้คนที่กด iPad Pro ถ้าจะเพิ่ม Cellular เข้าไปด้วย น่าจะเป็นรุ่นที่คุ้มที่สุดแล้ว นอกจากนั้น ใน iPad ทุก ๆ รุ่นที่เชื่อมต่อ Cellular Network ได้ เขาใช้ Modem ดีมาก ๆ ตามสไตล์ Apple อยู่แล้ว อะต่อ 5G ได้ทุกรุ่นแล้ว กับความเร็วที่เรามองว่า ก็ตัว Top อันดับต้น ๆ แล้วละ ทำให้เรามั่นใจได้เลยว่า ถ้าเราเอามาใส่ซิม เราจะเชื่อมต่อได้เสถียร และ เร็วน่าจะที่สุดในวง Tablet แล้วละ
เรื่องไม่จบที่ 5,000 บาท
เราว่าคนที่โอเค เห็นว่า 5,000 หรือ 5,500 บาท น่าจะเป็นเงินที่เราจ่ายได้ละแหละ แต่เราจะบอกว่า เอาเข้าจริงมันไม่จบที่ 5,000 กว่าบาทนะ เพราะอย่าลืมว่า เราจะต้องมีซิมใส่ด้วย ทำให้มันจะมีค่าบริการตามมาอีก
ส่วนนึงเราอาจจะเปิดเบอร์ใหม่กับผู้ให้บริการไปเลย ตัวเลือกนี้ เราว่า การไปซื้อเครื่องกับผู้ให้บริการ แล้วติดสัญญาเหมือนโทรศัพท์ไปเลยน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเราน่าจะได้ค่าส่วนลดเครื่อง แต่จ่ายเท่าเดิมเป็นส่วนลดค่าบริการต่อเดือนอะไรก็ว่ากันไปนั่นเอง
หรืออีกตัวเลือกเป็นการทำ Multi-Sim คือ เราก็จะแชร์ Package กับโทรศัพท์ของเราไปเลย สำหรับคนที่ใช้ Package ที่เป็น Unlimited อยู่แล้วเราว่าไม่น่ามีปัญหา แต่ต้องเช็คกับผู้ให้บริการด้วยนะว่า Package ที่เราใช้งานอยู่สามารถขอเปิด Multi-Sim ได้มั้ย เพราะบาง Package โดยเฉพาะพวก Unlimited ทั้งหลาย เขาไม่อยากให้เราเปิดเท่าไหร่ เพราะว่า ถ้าเราเปิดไปได้เรื่อย ๆ มันเหมือนเปิดช่องให้เราเอาไปเปิดขายต่ออะไรได้ก็ว่ากันไป มันจะไม่คุ้มกับผู้ให้บริการละ
หรือเท่าที่เราเจอมาเอง คือ Package เราก็เป็น Unlimited เหมือนกัน เป็น Package ติดสัญญาที่ซื้อพร้อมโทรศัพท์จากค่ายนึงละกัน ตอนนั้นเราจะขอเปิด Multi-Sim เขาบอกว่า ต้องจ่ายเพิ่ม 300 บาท ต่อ เครื่อง ต่อ เดือน นั่นแปลว่า ถ้าเราใส่ Apple Watch และใช้ iPad ด้วย เราจะต้องจ่ายเพิ่มเดือนละ 600 บาทเลยละ มากกว่าค่าโทรศัพท์ของบางคนอีก ถือว่าเยอะมาก ๆ นะ เราไม่โอเคเท่าไหร่
นอกเรื่องหน่อยละกัน เอาจริง ๆ นะ เราว่า ควรจะมีค่าเปิด Multi-Sim สำหรับ Apple Watch ที่ถูก ๆ หน่อยจะดีมาก เพราะเอาเข้าจริง เราก็แค่ใช้รับโทรศัพท์ และ Stream เพลงผ่านพวก Spotify หรือ Apple Music แค่นั้นเลย มันไม่ได้กิน Bandwidth อะไรหรอก 300 บาท โคตรแพง แล้วกรูจะกดรุ่น Cellular มาเพื่ออะไร๊ !
ข้อดีของการจ่ายเพิ่มเอา Cellular Model
เรื่องแรกเลย เราว่าหลาย ๆ คนเดาได้อยู่แล้วละว่า ถ้าเราออกไปนั่งทำงานนอกบ้าน เราไม่จำเป็นต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิด Personal Hotspot แล้วเอา iPad เช่ือมต่อเข้าไปแน่นอน
หนักกว่านั้นอีก ขนาดเป็น Apple Device ด้วยกัน เวลาเราจะต่อ มันก็จะดีหน่อย อะ เราไม่ต้องเปิดอะไรเลย เราแค่เอา iPad กดเข้าไปที่ WiFi แล้วมันจะมีชื่อ iPhone ของเราขึ้นมาให้เลย เราก็กดเช่ือมต่อ อ้าว ไม่ผ่าน ต่อไม่ได้ บางครั้ง ต่อ ๆ ไปนั่งทำงานอยู่หลุดอีก หนักกว่านั้นคือ ไม่ขึ้นชื่อให้ต่อแต่แรกเลยก็มี ดูมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่โอเค เราก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดปิดใหม่อะไรก็ว่ากันไปมันก็หาย ต่อและใช้งานได้เหมือนเดิม แต่ลองนึกภาพว่า ถ้าเราเจอมันทุกวันอะ โอ้โห้ ระยำ จริง ๆ นะบอกเลย ดังนั้น เรื่องแรกที่เป็นข้อดี ของการจ่ายเงินเพิ่มคือ ความสะดวกสบายในการออกไปทำงานนอกบ้าน ไม่ต้องมาวอแวกับการเชื่อมต่อ Personal Hotspot เลย
เรื่องต่อไป คือ Performance & Reliability ปกติแล้วเวลาเราเชื่อมต่อผ่าน Personal Hotspot โทรศัพท์ของเราจะต้องคุยกับเสาสัญญาณโทรศัพท์ และแชร์การเชื่อมต่อ ผ่าน WiFi ให้กับ iPad ของเรา มันมีการเชื่อมต่อผ่านอากาศถึง 2 ทอด แต่เทียบกับถ้าเราเอา iPad คุยกับเสาโทรศัพท์โดยตรงเลย มันก็จะเชื่อมต่อแค่ทอดเดียวเท่านั้น ในทางทฤษฏี มันก็จะลดโอกาสที่จะมีปัญหามากขึ้นได้
เท่าที่ใช้งานจริง ๆ เราเอาไปใช้งานตามร้านกาแฟ พวกนี้จะมีความหนาแน่นของการใช้งานช่องสัญญาณที่สูงมาก โดยเฉพาะตามสยามอะไรพวกนั้น ซึ่ง 5G มันถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับเหตุการณ์แบบนี้โดยเฉพาะเลย ทำให้มันอาจจะวิ่งได้อยู่ 900 - 1200 Mbps กับ Latency อยู่ 20-40 ms แถว ๆ นั้นได้สบาย ๆ เลย ซึ่งอะเรื่อง Latency เราว่าถ้าเราใช้ผ่าน Personal Hotspot เพิ่มไม่เยอะ เพราะระยะ ระหว่าง iPad และโทรศัพท์ห่างไม่ถึงเมตรอยู่ละ แต่ Bandwidth ที่ได้ จะเอาระดับนั้น เราอาจจะต้องใช้ช่องสัญญาณที่กว้างหน่อย
แน่นอนว่า iPhone เองก็ทำได้ ถ้าเราลองกดดูผ่าน Macbook เราจะเห็นเลยว่า Macbook ที่เราใช้เชื่อมต่อกับ iPhone ผ่าน WiFi ที่มาจาก Personal Hotspot ได้ที่ WiFi AX หรือ WiFi 6 กับ TX Rate ได้ที่ 1,200 Mbps ไปเลย เอ๊ะมันก็ดูเท่ากับ Bandwidth ที่ 5G ให้ได้นิ แต่เราจะบอกว่า ค่านี้เป็นค่าที่มันใช้คุยกันจริง ๆ ค่าที่เราจะได้ใช้งานมันจะต้องหักพวกขั้นตอนอื่น ๆ ไปด้วย ตีว่าสัก 30-50% ได้เลย ยิ่งถ้าเราไปนั่งในที่ ๆ ช่องสัญญาณแออัดก็คือ จะหนักกว่านั้นเยอะ
นั่นทำให้ถ้าเราใช้งาน Personal Hotspot จริง ๆ อย่างมาก เราว่าน่าจะไปได้ที่ราว ๆ 800 Mbps เราว่าก็ถือว่ามากแล้ว แต่ถ้าเราบอกว่า เราใช้งาน iPad กับการรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ ๆ อยู่บ่อย ๆ การเพิ่มเงินไปใช้ Cellular น่าจะคุ้มกว่าเยอะ
และเรื่องสุดท้ายเป็นเหตุผลที่ทำให้เราซื้อ iPad Mini ที่มี Cellular เลยคือ GPS โดยทั่ว ๆ ไป iPad ทุกเครื่องเขามี GPS ติดมาหมดแหละ ทำให้เราสามารถใช้งานพวก Location Service ได้ตามปกติแหละ แต่ถ้าเราต้องการ Location ที่แม่นยำจริง ๆ เช่นการเอาไปใช้งานพวก Navigation เช่น Google Maps ทั้งหลาย มันไม่พอจริง ๆ
เราเคยใช้ iPad Mini และ iPad Pro เอามาเปิด Navigation ในรถตอนขับไปบางแสน ก็คือบน iPad บอกว่าเราอยู่บน Motorway นะ แต่ตัวเราจริง ๆ เกือบถึงกลางเมืองชลบุรีแล้วนะ คือ โอ้โห้ มัน Beyond คำว่า ใช้ไม่ได้ไปแล้วละ
สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า iPad ที่ไม่มี Cellular มันระบุตำแหน่งด้วยการใช้แค่ GPS ผ่านดาวเทียมเท่านั้น บางครั้งการเชื่อมต่ออาจจะไม่เสถียรมาก เพราะอย่าลืมว่า ดาวเทียมอยู่ไกลมาก ๆ แล้วเสาอากาศที่ฝังอยู่ก็เล็ก พลังงานที่ใช้ก็น้อยมาก เลยทำให้การระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียมอย่างเดียวเป็นเรื่องที่พอจะใช้งานได้ แต่ก็ไม่ได้เสถียรมาก สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็กอย่าง Tablet
แต่ในรุ่นของ Cellular มันจะมีการเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณ (Cell Site) อยู่ตลอดเวลาที่เราอยู่ในพื้นที่ให้บริการ ซึ่งพวกนี้มันจะมีพวก Protocol ในการช่วยระบุตำแหน่งได้ด้วย เราเรียกว่า Assisted-GPS หรือ A-GPS ทำให้อุปกรณ์พวกนี้ มันระบุตำแหน่งได้เร็วกว่า และ ใช้พลังงานน้อยกว่ามาก ที่สำคัญความเสถียรดีกว่ามาก ๆ เพราะเราเชื่อมต่อกับ Cell Site คุยกับมันตลอดเลยง่ายหน่อย
นอกเรื่องหน่อยละกัน จริง ๆ แล้วในเรื่องของความแม่นยำ GPS ผ่านดาวเทียมดีกว่าเยอะมาก ๆ พวกเครื่องบินอะไรพวกนั้นก็ทำแบบนี้แหละ แต่เสาอากาศ และกำลังส่งมันต้องใช้เยอะมาก ๆ ซึ่งเครื่องบินขนาดนั้น ทำได้สบาย ๆ เลยละ แต่โทรศัพท์เราทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่งั้นเครื่องจะต้องใหญ่มาก ๆ และแบตจะไหลเป็นน้ำเลย ทำให้เราก็ต้องยอมเสียความแม่นยำลงไปหน่อยโดยการใช้ A-GPS
ข้อเสียของการจ่ายเพิ่มเอา Cellular Model
อ่านข้อดีมายาวขนาดนี้ ต้องกด WiFi + Cellular Model มาแล้วใช่มะ แต่ใจเย็นก่อน มันก็ไม่ได้มีแค่ข้อดีอย่างเดียว
ในเมื่อมันมีอุปกรณ์ในเครื่องเพิ่มมากขึ้น นั่นแปลว่า อะส่วนนึงราคาแพงขึ้นอันนี้เรื่องปกติ เข้าใจได้ ต้องมีพวกชุด Modem เข้ามาเพิ่ม แต่อีกเรื่องที่เราว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้คิดถึงกันเท่าไหร่คือ Battery
เรามีโอกาสได้ใช้ iPad Mini ทั้งรุ่นที่เป็น WiFi และ WiFi + Cellular เราสังเกตได้เลยว่ารุ่นที่มี Cellular ใช้งานคล้าย ๆ กันในสภาวะคล้าย ๆ กัน แบตจะหมดเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลย นั่นเพราะว่า การเชื่อมต่อเข้ากับ Cellular Network เสา และ อุปกรณ์มันอยู่ห่างกันเยอะกว่า ทำให้ มันต้องใช้กำลังส่งอะไรเยอะกว่า WiFi ที่เป็น WLAN ทั่ว ๆ ไปแน่นอน
ถึงแม้ว่า เราจะต่อ WiFi ตอนเล่นเกมอยู่บ้านแล้ว มันก็ยังหมดเร็วกว่า นั่นก็เพราะ มันจะทำการเชื่อมต่อกับเสาสัญญาณตลอดเวลา ทำให้มันต้องใช้พลังงานตรงนี้ไปด้วย ถึงแม้ว่าเราจะต่อ WiFi อยู่มันก็ยังคุยกับเสาสัญญาณ สังเกตง่าย ๆ เมื่อเราต่อ WiFi แล้วเราก็ยังเห็นขีดสัญญาณอยู่นั่นแหละ
อีกข้อเสียคือ ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการจัดหาซิม และ Package มาใส่อะไรแบบนั้น ถ้าเราไม่ได้ใช้งานบ่อย ๆ จริง ๆ หรืองานที่เราเอาไปทำมันจำเป็นจริง ๆ เรามองว่า เราก็อาจจะแชร์ Personal Hotspot เป็นครั้งครา ดูน่าจะเป็นมิตรกับกระเป๋าเงินมากกว่ามากแค่นั้นแหละ
ทริกเล็ก ๆ สำหรับคนที่ใช้ Personal Hotspot กับ Laptop
อย่างที่เราได้บอกไปว่า ถ้าเราใช้ Personal Hotspot ผ่านจากโทรศัพท์ของเรา เราจะต้องเชื่อมต่อ Laptop หรืออุปกรณ์ของเราเข้ากับโทรศัพท์ของเราผ่าน WiFi นั่นหมายถึง การที่มันต้องมีการส่งสัญญาณผ่านอากาศอีกทอด
งั้นเราเอางี้ ใน iPhone เขามีตัวเลือกให้เราสามารถแชร์เน็ตของเราผ่านสาย USB ได้ด้วย แค่เราเสียบสายเท่านั้น จากใจคนที่เรียน Data Communication มา มันจะชอบการเชื่อมต่อผ่านสายมากกว่า เพราะมันเสถียรกว่าเยอะมาก ๆ ฟิลเสียบ USB Modem เห้ยมันดูดีนะ ทำไมเราไม่ใช้ตัวเลือกนี้ละ
เรื่องแรกคือ มันไม่สะดวกละกัน แต่ถ้าเราใช้งานกับ Laptop นาน ๆ อะอาจจะโอเค กับเรื่องที่สำคัญมาก ๆ คือ ความเ_ยของ Apple ที่ยังคงใช้ Lighting Port บน iPhone และ iPad บางรุ่นอยู่ ซึ่งพวกนี้มันใช้เทคโนโลยีการส่งข้อมูลเป็น USB 2.0 ที่บอกเลยว่า มันตกยุค หล่นไปไกลมาก ๆ แล้ว ส่งได้อย่างมาก 480 Mbps ตามทฤษฏีเท่านั้น แต่ 5G เราแรงกว่านั้นถึง 1200 Mbps ยังไปได้อีกเลย
แต่ถ้าเรามี iPad ที่เป็น WiFi + Cellular และมี Port เป็น USB-C พวกนี้มันจะใช้งานเป็น USB 3.0 ละแย่สุด ๆ ก็วิ่งอยู่ 4,800 Mbps ซึ่งวิ่งได้เร็วกว่า 5G ในไทยเยอะมากอยู่แล้วทำให้เราสามารถใช้งานได้เต็มความเร็วของ 5G และ ยังได้ความเสถียรที่เกิดจากการลดการส่งข้อมูลผ่านอากาศไปอีกทอดนึงด้วย
ดังนั้น ถ้าเราจะเอา Laptop มาต่ออะไรพวกนั้น เราแนะนำให้แชร์ผ่าน iPad แล้วเอาสายเสียบจะได้ความแรง และ ความเสถียรสูงที่สุดละ ดีกว่าการแชร์ Personal Hotpsot จากโทรศัพท์มากขึ้นหน่อยนึง
สรุป
การจ่ายเงิน 5,000 - 5,500 บาท เพื่อเอา WiFi + Cellular แทนที่จะเป็น WiFi Model ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว มากกว่าการลดเงินแล้วไปเชื่อมต่อผ่าน Personal Hotspot ที่ทำให้เราลดความยุ่งยากในการต้องมานั่งเชื่อมต่อ Personal Hotspot ได้ความเร็ว และ ความเสถียรในการเชื่อมต่อที่ดีขึ้นเยอะมาก ๆ เมื่อเราออกไปนั่งทำงานข้างนอก ติดแค่แบตมันหมดเร็วขึ้นเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ติด และให้น้ำหนักกับการใช้งานนอกบ้านมากกว่า เรามองว่า เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า แต่ถ้าบอกว่า เราเน้นใช้งานในที่ ๆ มี WiFi อยู่แล้ว การเชื่อมต่อไม่ได้ยุ่งยาก เราว่า เอาเงินนั้นไปกินชาบูน่าจะคุ้มกว่าเยอะ