คิดไม่ออก ทำไงดี?

คิดไม่ออกโว้ยยยยย 🤬😡🤯

ประโยคด้านบนนี้น่าจะเป็นประโยคที่พูดกันบ่อย ๆ ตอนที่เรานั่งเขียนโปรแกรม แรก ๆ ผมนี่เป็นเอามาเหมือนกัน แต่พอมาหลัง ๆ มันก็เริ่มดีขึ้น เพราะเราคิดมาล่วงหน้าแล้วว่าจะเขียนอะไรบ้างเป็นขั้นตอน 1 2 3 แล้วค่อยมาทำ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งที่คิดมาแล้วมันจะใช้ได้ทุกครั้งเสมอไป บางทีมั่ว ๆ ก็ดันออกซะงั้น เหมือนในภาพข้างล่างนี้

ตอนแรกเห็นภาพนี้ก็ขำนะ คืนนั้นนั่ง Code งานแล้วก็ เออ แมร่งจริง !! ซะงั้น แต่บางทีมันดันไม่ได้ไง ทีนี้ถามว่า เราจะมีวิธีแก้ปัญหานี้ยังไงดี วันนี้เลยจะมาเสนอวิธีที่ผมใช้เวลาคิดอะไรไม่ออกกัน

ออกไปเดินเล่น 🐾


Image from Pexels

วิธีที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะคิดออกคือ การออกไปเดินเล่น ไม่ว่าจะเดินคนเดียว หรือมีหลัวใครอะไรก็เอาที่สบายใจ สิ่งที่ยากที่สุดคือการปล่อยวาง และ ลุกออกจากเก้าอี้ หลาย ๆ ครั้งที่หัวร้อน ผมนี่ไม่ลุกแม้กระทั่งเดินไปดื่มน้ำ หงุดหงิดสุด แต่เมื่อลุกได้แล้ว ไม่รู้สิมันก็ยังหงุดหงิดอยู่นะ แต่พอออกไปข้างนอก ปั่นจักรยาน เจอคน คุยกับคนอื่นบ้าง มันก็จะรู้สึกสบายขึ้นนะ พอกลับมานั่งทำต่อ หัวเรามันก็น่าจะปลอดโปร่งขึ้น อาจจะทำให้คิดออกได้ก็ได้นะ

ทำกิจกรรมในห้องน้ำ 🚽🛁


Image from Pexels

วิธีนี้เป็นวิธีที่ผมใช้บ่อยมาก คือจะเป็นคนที่เข้าห้องน้ำตรงเวลามาก ๆ โดยเฉพาะช่วงเช้า ปกติคือจะหยิบ iPad หรือกระดาษและปากกาเข้าไปในห้องน้ำตอนเช้าด้วย เผื่อนั่ง ๆ อยู่แล้วคิดอะไรออก จะได้จดไว้ก่อนเลย เพราะช่วงเวลาที่เรานั่งอยู่ในห้องน้ำ มันจะอารมณ์เหมือนเรานั่งสมาธิเลยนะ ลองสังเกตดูดี ๆ เวลาเรานั่ง 🚽 อยู่เราจะไม่ค่อยคิดเลยนะว่า วันนี้จะกินอะไร งานนี้ต้องแก้ยังไง จิตเราก็จะอยู่กับตัวเอง เพื่อทำให้ 💩 ออกจากช่องทางช่วงล่างของเราอย่างสวยงาม โดยไม่ต้องขมิบตัด ✂️ บางทีมันก็อาจทำให้เราค้นพบสัจธรรมบางอย่างก็ เป็น ได้ ~ โดยส่วนตัวแล้วผมนี่แหละเวลาคิดงานไม่ออก เข้าห้องน้ำออกมาทีไร คิดได้ตอนนั่งในนั้นทุกที

แต่กับ 🛁 แล้ว ส่วนใหญ่จะแหกปากร้องเพลง เลยก็ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้อารมณ์ดีหลังอาบน้ำเสร็จ ทำให้เราปลอดโปร่งคิดอะไรได้มากขึ้นนั่นเอง

นอน 🛏


Image from Pexels

เวลาเราทำงาน หรืออะไรก็ได้ที่ใช้สมาธิมาก ๆ แล้วแหงนมาดูนาฬิกาเราจะพบว่า นี่เราวาร์ปมาเหรอเนี่ย !! แล้วก็หัวร้อนอยู่อีก ยิ่งทำให้เราคิดอะไรไม่ออกเลย จากวิธีอื่น ๆ ที่พูดมาจะเป็นการเปลี่ยนที่คิด แต่บางครั้ง การช่างแมร่ง แล้วปล่อยไปก่อนก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย เหมือนกับเราเล่น MMORPG แล้วเราเห็นศัตรูแล้วเราไม่บวก ปล่อยไปก่อน เพราะรู้ว่าถึงบวกไปเราก็ตายอยู่ดี ฉะนั้นการที่เราคิดไม่ออกแล้วหยุดไปนอนก่อนก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน ดีกว่านั่งไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี บางครั้งดึกมาก ๆ เช้ามาไปทำอย่างอื่นต่อไม่ไหวก็มี

ไม่รู้เหมือนกันว่า คนอื่นเป็นมั้ย ประมาณว่า เวลาติดปัญหาอะไรสักอย่างนึงแล้วไปนอน เช้ามาเหมือนปัญหาที่เราติดอยู่มันดันได้ Solution ขึ้นมาเฉยเลย ดีกว่าการที่เรานั่งไปเรื่อย ๆ แล้วไม่ได้อะไรเลย แถมทำให้ง่วงทั้งวันอีกด้วย ฉะนั้นบางทีก็นอน ๆ บ้างก็ได้

บูชาสิ่งศักสิทธิ์ ⛩


Image from Pexels

แต่ถ้าวิธีที่ผ่านมานั้นใช้ยังไงก็คิดไม่ออกแล้ว อีกวิธีที่แนะนำคือ การพึ่งสิ่งศักสิทธิ์ เฮ้ย แต่อันนี้ไม่ได้งมงายนะ !! เพราะจริง ๆ แล้วการไหว้ การบูชา สิ่งต่าง ๆ นั่นเริ่มมาจากความกลัวในอำนาจของสิ่งต่าง ๆ ในสมัยก่อน เช่น ฟ้าผ่าแล้วเราบอกว่า อย่าไปทำให้ฟ้าโกรธ เดี๋ยวฟ้าก็ผ่าแกหรอก อะไรทำนองนั้น คนในปัจจุบันก็ยังคงมีความเชื่อในเรื่องของสิ่งศักสิทธิ์ บ้างก็เป็นเทพ, สมมุติเทพ และอื่น ๆ ตามความเชื่อ ที่เข้ามาเป็นที่พึ่งทางใจ ตัวอย่างเช่น ช่วงที่หวยจะออก แล้วเราลองเดินไปตาม วัดหรือที่ไหว้ดัง ๆ เรื่องหวย เราจะเห็นคนที่เล่นหวยเข้ามากราบไหว้บูชา เพื่อขอให้ถูกหวยกันเต็มไปหมด หรือแม้กระทั่งการสอบเข้าบางที่ ที่เราจะเจอ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และเด็ก ๆ มากราบไหว้บูชาตามศาลหรือที่ต่าง ๆ ที่มีความเชื่อว่า จะทำให้สอบผ่าน

แต่ถามว่า การที่เรามากราบไหว้บูชาอะไรสักอย่าง แล้วมันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลหรือไม่ เช่น เราไปขอให้ถูกหวย การที่เราขอพรแบบนี้มันส่งผลต่อผลลัพธ์หรือไม่ คำตอบคือ ก็ยังไม่อาจรู้ได้ (อย่าเชื่อในสิ่งที่ไม่เห็น มันอาจจะมีอยู่จริง ๆ ก็ได้ ใครจะรู้) แต่สิ่งที่เรารู้ได้จากการกระทำเหล่านี้คือ ความสบายใจ

ระดับความสบายใจที่เราได้มักจะ (ย้ำว่า มักจะ) ขึ้นตรงกับ ความยิ่งใหญ่ของการบูชา (มันคือความเชื่อของเขาก็อย่าไปลบหลู่เขา) และอัตราที่คนมาขอแล้วได้ดั่งผล จะสังเกตได้จำนวนคนที่มากราบไหว้บูชาตามสถานที่ดัง ๆ ในเรื่องนั้นกันอย่างเนืองแน่น ตรงข้ามกับสถานที่อาจจะไม่ได้ดังเท่า

ความสบายใจที่เราได้มาจะมาอยู่ในลักษณะของ ความสบายใจมันจะมาในอารมณ์ที่เรารู้สึกประมาณว่า เหมือนมีคนมาช่วยอะไรทำนองนั้น ทำให้เรารู้สึกมีความหวังขึ้นมาว่าสิ่ง ๆ ที่เราขอมันจะประสบความสำเร็จ แล้วมีกำลังใจที่จะทำต่อไป คล้าย ๆ กับอารมณ์ที่จะพูดในหัวประมาณว่า ”เกือบแล้ว !! อีกนิดเดียว !!” แล้วเราก็จะค่อย ๆ ทำจนมันได้

แต่ถ้าเอาเนื้อแท้ของการไปบูชาและศาสนาจริง ๆ แล้วเราว่ามันทำให้เรา ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นและฉุกคิดว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้สักที และค่อยพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ที่อาจจะแก้ได้ด้วยปัญญา, การเจรจา, ความอุตสาหะ และความไม่ประมาท เหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

ปลง 😑

อันนี้จัดว่าเป็นขั้นสุดของการคิดไม่ออกแล้ว นั่นคือ ปลง หรือพูดเป็นภาษาผมว่า ช่างแมร่งมันโว้ยยยย วิธีนี้มันจะถูก Apply เองเมื่อมันตันมากนานจริง ๆ (กับผมอะนะ) มันมักจะมาในรูปแบบของการบอกว่า “ช่างแมร่งมันแล้ว” ไม่ก็ “ไม่ทำแล้ว” แล้วเราก็จะหยุดทำงานนั้นไปโดยปริยาย ทำให้เราได้มีเวลาออกจาก Space ของปัญหานั้น ๆ ไปทำอย่างอื่น จะบอกว่านี่เป็นทางแก้ปัญหาซะทีเดียวมั้ยก็คงไม่อะแหละ บางทีมันไปทำอย่างอื่นแล้วก็หายไปเลยก็มี ฮ่า ๆ แต่บางทีการไปทำอย่างอื่นก็ทำให้เราเห็นภาพกว้างของปัญหามากขึ้น อาจจะทำให้เราคิดอะไรออกก็เป็นได้

สรุป

จากที่อ่านกันมา เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเห็นจุดที่เหมือนกันของทุกวิธี คือการ ก้าวออกมา เพื่อให้เราเห็นภาพใหญ่ และหลาย ๆ แง่มุมของปัญหามากขึ้น การแก้ปัญหาก็คือการเล่น Puzzle ที่บางครั้งถ้าเรา Focus กับ Solution มากเกินไป เราก็จะไม่เห็นมัน ความรักก็เช่นกันที่ยิ่งตามหาเท่าไหร่มันก็ยิ่งบินหนีไป (เพลงของ Klear มาเต็ม) จริง ๆ ถ้าเราสังเกต เวลาที่เราคิดอะไรไม่ออก จิตของเรามันมักจะจมอยู่กับปัญหา โดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น ๆ หรือส่วนอื่น ๆ เลย สุดท้ายก็ดำดิ่งลงสู่ห้วงทะเลลึกหายไปเลย

นอกจากการ ก้าวออกมา เป็นสิ่งที่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่า คือการ ทำใจให้เราสามารถก้าวออกมาได้ด้วย เพราะถ้าเรางมอยู่กับปัญหามาก ๆ การที่เราจะยอมก้าวออกมาถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก เหมือนกับที่เพลงอะไรสักเพลง (รู้แล้วช่วย comment มาหน่อย ลืม....) ​พูดว่า การออกไปข้างนอก ยากที่สุดคือการที่เราก้าวขาออกจากบ้าน เรื่องนี้ก็เช่นกัน การที่เราจะยอมถอยออกมาได้ จุดที่ยากที่สุดคือเราที่ไม่ยอมถอยนี่แหละ ทำยังไงถึงจะยอมถอยออกมาได้ อันนี้ก็ต้องขึ้นกับเราละ สวีดัส สวัสดี ~