รีวิวความเป็นบัณฑิตและ Report ที่ไม่เสร็จของเขา

อย่างที่ได้เล่าไปว่า ตอนนี้เราเรียนจบแล้ว และก็รับปริญญาเรียบร้อยแล้วด้วย วันนี้เลยจะมารีวิวความเป็นบัณฑิตกันว่า มันเป็นยังไง ที่ว่ามันเหนื่อยชิบหายเนี่ยเป็นยังไง ไปดูกันเลย

ชุดครุย

ชุดอะไรเสียงดัง ชุดครุยไง วั้ย !! เล่นกันตั้งแต่จะเช่ายันจะคืนอยู่ละ มุขนี้ก็ยังเล่นไม่เลิก จางในจาง ปัดโธ่ ทุ่มด้วยโพเดียมเลยนิ ! ก็เริ่มจากการวัดตัวกันก่อน ตอนนั้นก็คือที่นั้นที่ร้านก็มาวัดตัวกันที่คณะเลยไม่ต้องไปร้านเอง สบาย ~ เราจะไม่บอกว่าร้านอะไร เพราะเขาไม่ได้จ่าย

จำได้ว่า วันที่ร้านมาวัดตัวที่คณะ คือวันที่ต้องออกไปธุระของคณะในตัวเมืองนครปฐมนี่แหละ แล้วคือถ้าเราไม่ได้มาวัดวันนั้นเราต้องไปจัดการที่ร้านเอง คือขี้เกียจไงเข้าใจม่ะ !!! ตอนนั้นก็ทำ Senior ก็ยุ่งมากพอแล้ว ยังต้องเอาเวลาหอบร่างไปร้านที่ตอนนั้นจำไม่รู้ว่าร้านมันอยู่แถวไหน และจะหอบร่างไปยังไง แต่ก็โชคดีที่งานรอบเช้าเลิกไว เลยได้กลับมาวัดตัวที่คณะ เฮ้ออ รอดไป ~

วันวัดก็ว่าพีคเกือบไม่ได้วัดแล้ว วันมาเอาชุดก็พีคพอกัน เพราะวันรับมันเป็นวันเดียวกับงาน Google I/O Extended Bangkok 2018 ที่ผ่านมา คือจะพลาดก็ไม่ได้ไง งานใหญ่ขนาดนี้ อย่างที่รู้กันว่างาน Google I/O Extended Bangkok 2018 เนี่ยจัดอยู่แถวสยาม และร้านเอาชุดมาให้ที่คณะ ICT มหิดล ศาลายา ครับ ใช่ จากสยามมาศาลายา ถ้าจำไม่ผิด ว่าร้านจะมาที่คณะตอนเที่ยงแล้วจะกลับบ่าย 3 ได้

กว่าจะออกจากสยามก็บ่ายโมงแล้ว มีเวลา 2 ชั่วโมงวิ่งจากสยามไปศาลายา ตอนนั้นคือวิ่ง 3 คูณร้อยกลับศาลายาไป ระหว่างนั่งรถคือในใจคิดว่าจะทันมั้ย จะทันมั้ยตลอดทาง สุดท้ายถึงศาลายาตอนบ่าย 2 ครึ่ง เกือบไม่ทันแล้วไง


เขาไม่ได้จ่ายเราก็ปิด ๆ ไว้

แล้วก็ได้ชุดมาอยู่ในถุงชุดหนัก ๆ แล้ววันนั้นไม่ได้ปั่นจักรยานไปคณะ ถุงชุดหนัก ๆ แดดร้อน ๆ กับเดินกลับหอ บ้าเอ้ยยย หลับถึงหอคือเหงื่อท่วมตัว 😡

ไหน ๆ ก็พูดเรื่องชุดละ สำหรับใครที่ไม่รู้เนี่ย ครุยของมหิดลผู้ชายเนี่ย จะใส่ชุดนักศึกษาคือเสื้อ Shirt ขาว กางเกงสีกรม กับไทด์ของมหาลัย นี่คือชั้นแรก ทับด้วยสูทสีกรม และปิดด้วยครุยซึ่งมันก็มีแยกอีก 2 ชิ้น คือตัวครุยกับฮูท แล้วเราต้องใส่ทั้งหมดกับอากาศประเทศไทย 30++ องศา ใส่ทั้งหมดนี่ข้างในน่าจะบวกไปอีก 5-6 องศาเลยมั้ย.... ร้อนจริงอะไรจริง ร้อนจนเหงื่อทะลุเสื้อนักศึกษาลงสูท ถอดออกมาคือสูทเปียกกับเสื้อนักศึกษาจากสีขาวกลายเป็นใสเห็นข้างในเลย เอาสูทเก็บในถุงสูทรูดซิปไปแปบเดียว เหงื่อกลายร่างเป็นไอน้ำเกาะอยู่ในถุงสูทเลย นี่ขนาดเดินอยู่ในตึกนะ ไม่ได้ออกไปข้างนอกยังร้อนได้ขนาดนี้ จนตอนหลังเวลาใส่แล้วนั่งพักอยู่ ก็จะเอามือมาล้วงเข้าไปที่แขนเสื้ออีกข้างเพื่อให้อากาศมันได้เข้าไปในชุดบ้าง เพราะมันจะอึดอัดนิด ๆ เลยละ พอเอามือดึงแขนเสื้อไว้เท่านั้นแหละ ไอร้อนที่อยู่ข้างในคือ ร้อนมาก ไหลออกมาไม่หยุด

ตอนที่เราเช่าครุยมา ไม่รู้ว่าร้านอื่นเป็นรึเปล่าว่า ไม่ให้เราซักครุยเอง ไม่ว่าจะส่งร้านหรือทำเองก็เถอะ อ่าาห์ ถึงเราจะไม่ได้เป็นคนเหงื่อออกเยอะ แต่เราก็ไม่ชอบเวลาเราใส่อะไรที่มันไม่ได้ซักมาก่อน (ครั้งแรกที่ได้จากร้านมา เขาก็เอาไปซักรีดมาแล้วละ แต่ครั้งถัดไปหลังจากที่เราใส่ครั้งแรกนี่แหละ หายนะ) เราจะหงุดหงิดมาก แล้วเจ้าครุยก็เป็นอะไรที่เราซักไม่ได้ และต้องใส่หลายครั้ง คือมันก็มีเหงื่อที่เล็ดรอดออกมาจากสูทด้วยไง พอเราใส่หลาย ๆ ครั้ง เวลาผ่านไปมันก็จะไม่ดีเท่าไหร่ อันนี้ก็เป็นอีกจุดที่แบบไม่ชอบเลย


ตะขอมันติดยากจริง ๆ หงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องติดใหม่

ปกติเวลาเราใส่เสื้อ เราก็จะติดกระดุมเพื่อให้เสื้อมันติดกัน แต่ตัวครุยเนี่ยมันจะเป็นตะขอเกี่ยว ปัญหาของมันคือ เวลาเราใส่แล้วเดินมันก็จะโบกไปมา ทำให้ตะขอมันหลุดบ่อย ๆ สนุกกว่านั้นคือด้วยความที่ครุยมันยาวยันเข่า เวลาจะหยิบของในกระเป๋ากางเกงมันก็จะยากมาก ต้องล้วงจากข้างล่างขึ้นไปหากระเป๋ากางเกง จนหลัง ๆ ก็ไม่เอาอะไรไว้ละถือเอาก็ได้ แล้วพอหยิบบ่อย ๆ เข้า ตะขอมันก็จะหลุดบ่อย ๆ เดินไปติดไป สภาพคือเดินไปตัวก็จะก้ม ๆ เดินแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ฮ่าไปอี๊ก แล้วตัวครุยเนี่ย ถ้าใครเคยใส่ก็จะรู้ว่า ตรงไหล่อะ มันจะเป็นผ้าแข็ง ๆ หน่อย นั่นแหละ ถ้าเราใส่เดินทั้งวัน มันก็มีหนักเหมือนกัน เมื่อยมาก วันหลังจากซ้อมกับรับนี่คือเมื่อยไหล่สุด ตอนแรกที่ใส่ไปถ่ายนอกรอบก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร นึกว่าเดินเยอะแล้วเหนื่อยมาก ๆ แล้วมันจะเมื่อยไปทั้งตัว จนมาวันซ้อมนี่แหละเลยรู้ เพราะคนอื่นก็บ่นเหมือนกัน

แล้วเวลาเราจะใส่เนี่ย อะเราก็ใส่สูท ใส่ตัวครุย แล้วก็ใส่ฮูทของครุย ไหน ๆ ก็แล้วเพื่อใครไม่เคยเห็นฮูท ปกติอะตัวครุยเลยมันจะเป็นเหมือนเสื้อยาว ๆ แล้วถ้าเราเคยเห็นบัณฑิตอะ ข้างหลังเขาจะมีเหมือนอะไรห้อย ๆ แกว่งไปแกว่งมา เจ้าผ้าที่แกว่งไปมาข้างหลังนี่แหละคือฮูท มันก็จะเป็นส่วนของชุดที่เหมือนเราคล้องมันลงไปทับตัวครุยอะ แล้วมันจะมีเชือกสีดำ ๆ เป็นปลายอีกข้างนึง ซึ่งเราจะต้องเอาเชือกนั้นไปคล้องกับกระดุมสูทที่อยู่ข้างในครุย ให้ตึง เพราะถ้าไม่ผูกให้ตึงอะ เวลาเราลุกเดินไปมา มันก็จะเลื่อนขึ้นลงจนเรารำคาญและเวลาถ่ายรูปมันก็จะไม่สวย


ข้างหลังมันจะมีกระดุมอยู่นั่นแหละตรงนั้นเลย !!!

อีกจุดของฮูทที่รู้สึกเหมือน เขาวงกต เลยคือข้างหลังของมัน โดย Puzzle นี้คือ ที่ตัวฮูทเวลาใส่ข้างหลัง ด้านซ้ายกับขวาของข้างหลังมันจะมีไอเท็มลับอยู่คือ เชือกสีดำ (เหมือนกับข้างหน้าฮูท) กับกระดุมอยู่อีกฝั่ง และที่ตัวครุยมันจะมีกระดุมอยู่แถวนั้นอีกเม็ดนึง เป้าหมายของเกมนี้คือการทำให้ครุยที่มันแยกจากกันอยู่ติดกัน ตอนนั้นก็ อ่าาาห์ มีเชือกกับกระดุม แกต้องคล้องเหมือนข้างหน้าแน่นอน ก็เอาเลยฮ่า กระดุมตรงกลางช่างมัน เอาเชือกกับกระดุมที่ฮูทมาพัน ๆ คล้องกันเลย สรุปคือ เวลานั่งเดินฮูทมันก็จะเลื่อนขึ้นลงไปมา จนหลังฉลาดก็เอาเชือกมาหมุนตรงกลางให้ครุยกับฮูทมันติดกัน เวลานั่งเดินก็จะไม่ไหลไปมาแล้ว โดยเฉพาะผู้ชายที่จะต่างจากผู้หญิงหน่อยคือ ผู้ชายจะผูกไทด์อยู่ข้างในทำให้เวลาฮูทมันเลื่อนมันก็จะเลื่อนขึ้นมาติดคอเรา รำคาญเวอร์ !! ต่างจากผู้หญิงที่จะมีโบว์ไทด์ที่มันเลยออกมาทำให้เวลาฮูทมันจะเลื่อนมันก็จะติดโบว์ไทด์ทำให้ฮูทมันไม่มาติดคอ

แต่แก คนเราอะมันก็ต้องมีเข้าห้องน้ำม่ะ !! โอ้โห !! ยากเวอร์ !! อย่างที่บอกไปว่า ครุยมันชุดยาว ๆ ยาวยันเข่า ที่มันเลยของผู้ชายไปแล้ว เวลาจะปัสสวะหรือบ้าน ๆ เรียก ฉี่ หรือ ฉิงฉ่อง นี่แหละ เราก็ต้อง เอาตะขอออกสักอันนึงแล้วแหวกผ่านครุยเข้าสูท แล้วสูทมันก็จะยาวเกือบถึงก็ต้องแหวกนิดหน่อยถึงจะถึงกางเกง แล้วต้องระวังอีกไม่ให้มันกระเด็น (ทำไมตรูต้องมาอธิบายอะไรแบบนี้ด้วย !!) มันจะเป็นการยืนฉี่ที่ลำบากกว่าปกติมาก ๆ เอาพีคกว่านั้น ถ้าแกจะเล่นหนักเลยเนี่ย อื้ม... ยากละ เราว่าน่าจะต้องถอดครุยออกเลยป่ะ นั่นคือต้องให้เพื่อนเอาฮูทข้างหลังออกให้ คลายเชือกฮูทข้างหน้าอีก ถอดครุยอีก เอ้าจะวางไหนอีก สูทไม่เท่าไหร่พอจัดการได้

ทำให้เราสงสัยว่า แล้ววันที่ต้องใส่ชุดนี้แล้วท้องเสียจะทำยังไง ไม่อยากจะนึกภาพเลยนะ ถึงแม้ว่าจะทำธุระเสร็จแล้ว กว่าจะใส่อีกมันก็ต้องใช้เวลาอีก ทำให้วันที่เรารู้ว่าต้องใส่ชุดนี้คือ เราก็จะจัดแจงจัดหนักไปก่อนเลย ขี้เกียจที่จะต้องมาถอด ๆ ใส่ ๆ ปวดหัว ~ และลองนึกสภาพของผู้หญิงสิ ลำบากเวอร์ !! แต่วันที่ใส่ครุย สังเกตนะว่าถ่ายเบาอะ ไม่บ่อยนะ เดาว่า แค่ลำพังน้ำในตัวออกผ่านเหงื่อมันก็จะหมดตัวละ ถ้าจะออกลงส้วมอีกก็น่าจะยากไปสำหรับร่างกายเรามั่ง 555555

สรุปเรื่องชุดเลยเนี่ยคือ มันใส่ยากเพราะต้องใช้คนอื่นช่วยผูกเชือกที่อยู่ข้างหลัง ซ้ำร้ายกว่านั้นกิจกรรมพื้นฐานอย่างการเข้าห้องน้ำ จากที่มันเป็นเรื่องพื้นฐานกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที ชุดที่ใส่หลายชั้นมาก ๆ ทำให้มันหนาจนร้อน ร้อนมากจริง ๆ ขนาดไม่ใช่คนที่เหงื่ออกมากแล้วนะยังชุ่มไปทั้งเสื้อและสูท แล้วคนที่เหงื่อออกมาก ๆ นี่จะขนาดไหน นอกจากร้อนแล้วชุดรวม ๆ กันแล้วมันก็จะหนักอยู่หน่อย ๆ ฟิลลิ่งใครที่เรียน รด น่าจะนึกออกเวลาที่เราใส่ชุด รด จำโมเม้นต์นึงได้ที่เดินอยู่ มืออะรู้สึกนะว่ามันมีลมผ่าน แต่ตัวที่อยู่ในชุดมันไม่รู้สึกเลย ครุยก็เช่นกัน แต่ร้อนกว่า ขนาดแอร์ในมหิดลสิทธาคารยังเอาไม่อยู่เลย นั่งดูรูปดี ๆ แล้วรู้สึกว่า เหมือนมันหนาจนอ้วนขึ้นเลย ฮ่า ๆ

เพราะฉะนั้นวันที่ต้องใส่ก็จะกินอะไรที่เบา ๆ และเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเสมอ จะได้ไม่ต้องถอด ๆ ใส่ ๆ ขี้เกียจ

การถ่ายรูปนอกรอบ

ช่วงรับปริญญาน่าจะเป็นช่วงเวลา ทอง ของช่างภาพเป็นจำนวนมาก เพราะมีลูกค้าเป็นบัณฑิตล้นหลามตามช่วงเวลาของแต่ละมหาลัยกันไป ซึ่งช่างภาพแต่ละคนก็จะมีหลายราคา หลายเกรดให้เราเลือกสรรตามความพึ่งพอใจของทั้งตัวเราและกระเป๋าเงิน รวมไปถึง Agreement ต่าง ๆ เช่นเรื่องของวัน และจำนวนรูปที่แต่งให้ เป็นต้น

แต่เราจะไม่พูดว่า ตากล้อง เลือกยังไงอะไรประมาณนี้ มันอยู่ที่ความพึ่งพอใจของหลาย ๆ คน และเขา ไม่ ได้ จ่าย ก็ผ่านไป จุดที่เราต้องการจะเล่าจากเรื่องตรงนี้คือ จำนวนเงิน และเวลาที่เราใช้กับการถ่ายรูปนอกรอบ

สิ่งนึงที่เราใช้เป็นเหมือน Criteria ในการเลือกช่างภาพนอกจากเรื่องราคาคือ มุมมอง และ การทำ Post-Processing ต่าง ๆ เช่นการทำสีอะไรพวกนั้น ส่วนตัวก็จะเป็นคนที่ชอบภาพโทนสว่างแต่ไม่ Over จนเกินไปดูธรรมชาติให้มากที่สุด เวลาหาช่างภาพ เราก็ต้องหาคนที่ให้ภาพในมุมและสีที่เราต้องการใน Range ของราคาที่เรารับได้ด้วย

เราว่า เราน่าจะเป็นคนที่ต้องไปถ่ายนอกรอบหลายรอบมาก ๆ เพื่อนตรงนั้นชวน เพื่อนคนนี้ชวน เยอะมาก จนมีช่วงนึงมีต้องไปถ่ายรูปอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วันประมาณ 1 เดือนได้ มันเหนื่อยมาก เพราะนอกจากที่ต้องใส่ครุยร้อน ๆ ไปมาแล้ว แกยังต้องแบกครุยที่มันหนักไปด้วยนะ ถ้าทุกครั้งเราเอามันไปถ่ายที่มหาลัยในขณะที่อยู่หอมันก็ไม่ยากไง แต่ถ้าบางคนอุตริแบกมันไปที่อื่นไกล ๆ ด้วยเนี่ยก็น่าจะสนุกอยู่เหมือนกัน มีรอบนึงไปสยาม บ้าเอ้ยยย มันหนักมาก แล้ววันนั้นเป็นช่วงเปิดเทอมอาทิตย์แรก อย่างที่ได้เคยเล่าไปแล้วในบทความก่อน ๆ ที่ช่วงนั้นเหนื่อยมาก ๆ เอาเป็นว่า เหนื่อยจนตื่นมาอีกวัน จำไม่ได้ว่าเมื่อวานทำอะไรไปบ้าง เห็นอีกทีคือรูปที่เสร็จแล้ว

เรื่องของเงินก็สำคัญ การที่เราเอาช่างภาพมาถ่ายให้เนี่ย เขาก็ต้องทำมาหากินไง เพราะฉะนั้นมันก็มากับเรื่อง ค่าใช้จ่ายมากมาย ทำให้เวลาใครถามว่า แล้วทำไมไม่จ้างช่างภาพทุกครั้งไปเลยละ ถ่ายเองทำไม เดี๋ยวก็ต้องมา Process เองอีก ก็จะตอบไปเลยว่า งก จะ ทำไม อะไรทำเองได้ก็ทำไปเถอะ ประกอบกับการที่มีช่างภาพเดินติดไปด้วย เราก็จะเกรงใจด้วยแหละ เห็นเขาต้องถือทั้งกล้องและเลนส์ บางคนพีคมี Flash และขาตั้งของ Flash อีกด้วย 10 10 10 ไปเลย 😶

แล้วปกติเป็นคนทำหน้าไม่เป็นด้วยนะ หมายถึงว่า เวลาถ่ายรูปอะ เรายิ้มไม่เป็นเว้ย !! ถ้าใครรู้จักเราแล้วเห็นรูปเราบ่อย ๆ อะ จะเห็นว่า เวลาเรายิ้มถ่ายรูปอะ มันจะหน้าเหมือนเดิมทุกรูปเลย คือแบบ แม่มเอ้ยยย หงุดหงิดตัวเองมาก ก็พยายามหัดยิ้มแบบอื่น ๆ แต่มันก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเลยสักอัน ก่อนหน้านี้ก็คิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้วแหละ แต่ก็สุดท้ายหน้างานก็ยิ้มแบบเดียวกันทุกรูป บ้าเอ้ย !!!!

วันซ้อม

เรื่องของ วันต่าง ๆ ทางมหาลัยจะประกาศให้เราทราบล่วงหน้าอยู่นานมาก ๆ เลยละ ตอนนั้นก็เอาวันที่ประกาศไปบอกญาติพี่น้องครอบครัวต่าง ๆ ซะให้เรียบร้อยเพื่อเขาต้องไปลางานอะไรเพื่อมางานเราก็ว่าไป

โดยปกติของม.มหิดลจะมีวันที่เราต้องมาแน่ ๆ อยู่ 4 วันด้วยกัน คือการซ้อมครั้งที่ 1-3 และวันรับจริง โดยการซ้อมครั้งที่ 1 คณะที่เราอยู่จะเป็นคนจัดเอง กล่าวคือ เราก็ซ้อมที่คณะแหละไม่มีอะไร ไม่เหนื่อยอะไรเท่าไหร่ เช้าบ่าย เช้าก็มาถ่ายรูปรวมคณะกับถ่ายกับอาจารย์อะไรประมาณนั้น เที่ยงกินข้าวแล้วบ่ายก็ซ้อมเดิน ตอนนั้นฟังมาบอกว่า เราต้องทำให้รับได้ 32 คนต่อนาที ถ้าเราลองหารดูแล้วเนี่ย มันจะตกคนละเกือบ 2 วินาทีเองนะ ตอนนั้นก็แซวกันว่า ซ้อมกันบานมากเพื่อโมเม้นต์ 2 วินาที เดาจากการซ้อมตอนนั้นเลยว่า ณ หน้างานจริงมันจะยิ่งกว่านี้แน่นอน ทุกอย่างมันต้องเกิดขึ้นเร็วมาก กว่าจะเลิกจากซ้อมก็ซ้อมอยู่หลายรอบมาก ๆ จนมันได้อะ นานสุด ๆ แงงง ดีที่วันนั้นก็ไม่ได้มีมหกรรมเรียกเพื่อน ๆ และครอบครัวมาถ่ายรูปกัน น่าจะเป็นวันของเพื่อน ๆ และอาจารย์ในคณะซะมากกว่า แล้วก็แยกย้ายกลับกันไป

วันซ้อมวันที่ 2 เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า RFID มา มันจะเป็นแผ่นที่ข้างหน้าด้าน ๆ ข้างหลังเหมือนกาว 2 หน้าแบบบาง 2 อันแปะอยู่ วิธีใช้คือให้เราลอกกาวแล้วเอาแผ่น RFID มาติดไว้ที่ด้านล่างทั้งซ้ายและขวาของครุย เดี๋ยวติดทำไมจะอธิบายทีหลัง

ก็จะเริ่มจากไปเจอที่คณะก่อนเวลาซ้อมสักหน่อย แล้วก็เดินไปที่ซ้อมตามที่มหาลัยกำหนดไว้ ในปีเราอะ วันซ้อมย่อย ตอนซ้อมเราก็ไม่ต้องใส่ครุยเข้าไป แล้วซ้อมบ่าย เราก็แค่ใส่ครุยถ่ายรูปตอนเช้า แล้วเที่ยงก็ถอด

บ่ายก็เข้าไปซ้อม ตอนหลังก็ได้แจกเจ้าเล่มในภาพมา มันคือชื่อของคนที่จบในปีนี้นั่งเอง พอซ้อมกลับมาปรากฏว่า ออกมาสายไปหลายชั่วโมง ทำให้เพื่อน ๆ ที่จะมาแสดงความยินดีกับเรามารอนานแล้ว พอออกจากห้องที่ซ้อมโทรศัพท์สายแทบไหม้ สุดท้ายเดินมาถึงคณะ เราก็ออกมาใส่ครุย ข้าวไม่ได้กิน แล้วถ่ายรูปกับคนอื่นต่อ วันนั้นคือเหนื่อยมาก กินข้าวคือแทบจะหลับคาจานข้าวแล้ว หิวก็หิวนะ แต่ง่วงก็ง่วง นึกภาพถึง The Sims อะ เวลา Sims ความหิวกับพลังงานลดจนแดง พอเราสั่งกินข้าวมันก็จะหลับคาจานข้าว อะไรแบบนั้นเลย

วันซ้อมอีกวันคือวันซ้อมใหญ่ อันนี้จะเหมือนของจริงเลย เราก็จะใส่ครุยและเข้าไปซ้อมในมหิดลสิทธาคารเลยที่เป็นสถานที่จริง นั่งที่จริง เดินจริง ร้อนจริง เหมือนวันจริงเลย ที่สำคัญซ้อมเหมือนจริงหมายความว่าของที่ห้ามเอาเข้าก็เหมือนกับวันจริงเลย รวมไปถึงโทรศัพท์ด้วย โอ้ มาย ก๊อด คือเราเนี่ยยอมรับเลยนะว่า เป็นคนติดโทรศัพท์มาก แล้วการที่เราต้องอยู่ห่างมันมากกว่า 3 ชั่วโมงนี่คือลงแดงไปเลย การซ้อมใหญ่จะต่างจากวันซ้อมก่อนหน้านี้หน่อย เพราะเราเข้าในหอประชุมจริง

เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีเรื่องของการ Flow และ Load บัณฑิตเข้าออก โดยที่ม.มหิดล จะให้คณะเอาบัณฑิตไว้ที่อีกตึก พิพิธภัณฑ์ดนตรีแห่งอุษาคเนย์ (โอ้พระสงฆ์ ชื่อสะกดยากมาก...) ก่อน ถ้าเจ้าตึกนี้สร้างเสร็จแล้วมันก็จะไม่สนุกเลยเพราะมันจะเย็นสบายจากแอร์ แต่ปัญหาคือ มันยังสร้างไม่เสร็จไง เมื่อปีก่อน เราก็เห็นพี่ ๆ เป็น บัณฑิตอบแห้ง จากการนั่งรออยู่หลายชั่วโมงในนั้น ทำให้เราได้ไปสำรวจที่ตึกก่อนหน้านั้นสักเดือนนึง ก็เห็นว่า เฮ้ย ! มันยังไม่ได้ติดแอร์ข้างล่างเลย หนำซ้ำ มีกระจกติดไปแล้วด้วย งี้อากาศมันก็ถ่ายเทยากมากเลยนะ บัณฑิตอบแห้งคูณ 2 แน่นอน ถ้านึกภาพไม่ออก คือในนั้นเนี่ย จะเป็นเหมือนห้องใหญ่ ๆ เลย พื้นเป็นปูน รอบ ๆ พนังเป็นกระจก ไม่มีแดดส่องเข้ามา มีรูประตูใหญ่ ๆ ให้อากาศเข้าอยู่ด้านหน้าและหลัง เพื่อให้ความเย็นมีแอร์ตู้ (ไม่รู้มันเรียกอะไรอะ เราเรียกมันแอร์ตู้) อยู่นิดหน่อย... ในนั้นเนี่ยจะมีบัณฑิตอยู่หลายร้อยเลยมั่งนะ (เดา ๆ เพราะคณะเราเล็ก ๆ ก็ 2 ร้อยแล้วนะ ใช่มั้ยหว่าา)

วันที่ซ้อมใหญ่คือ เตรียมใจไว้ละแหละว่าเราจะต้องเข้าไปอบซาวหน้าอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง พอตั้งแถวจากคณะไปถึงที่นั่นแล้ว มันก็จะมาด่านตรวจตั้งแต่ จุดลูบ ๆ คลำ ๆ หาของแปลกปลอม ตรวจเล็บ และอันที่รู้สึกฮ่าที่สุดคือ ตรงที่ตรวจแผ่น RFID คือด้วยความที่เราต้องรีบเดิน วิธีที่มหาลัยบอกให้เราทำคือ ให้เราแหกครุยโชว์เลย คือท่ามันตลกมาก ฮ่า ๆๆ ประกอบกับวันก่อนหน้าที่ซ้อมย่อย พี่ที่ซ้อมบอกว่า เป็นบัณฑิตต้องดูสง่างาม พี่ครับ มันจะหายหมดก็ตรงแหกนี่แหละ ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆ (เข้าใจแหละว่าคนเยอะ รีบ แต่ก็ฮ่าไม่หายจริง ๆ) และเราก็จะเดินผ่าน RFID Gate มันคือที่อยู่หน้า Supermarket อะ ที่มันจะดังปี๊บ ๆ เวลาเราไม่จ่ายตังค์แหละ พอเราที่ใส่ครุยที่มี RFID ติดอยู่มันจะเป็นเหมือนการ Check-in ว่าเรามาแล้วนะอะไรแบบนี้

พอเราผ่านด่าน ยิ่งกว่า ตม. เราก็จะเข้าพิพิธภัณฑ์ เฮ้ !!! เราได้ขึ้นไปข้างบน ที่ทางขึ้นมันก็จะน่ากลัวหน่อย ๆ เพราะยังไม่ได้เก็บงาน แต่พอขึ้นไปถึงสักชั้น 3 คืออู้วววส์ เย็น ~~ มันมีแอร์ !!!!! รอดแล้วตรู !!!! คณะเราก็ได้เข้าไปอยู่ในห้อง ๆ นึง เป็นเหมือนห้องเรียนเลย แต่ไม่มีเก้าอี้ ตอนแรกก็เข้าไปเป็นแถว ผ่านไปสักพัก การไม่มีโทรศัพท์ ทำให้คนปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นจริง ๆ จากเป็นแถว ๆ เราก็เริ่มหันหน้าหันหลังตั้งวงเมาท์กันอย่างเมามันส์ ตั้งแต่เรื่องชีวิตของแต่ละคน เรื่องเที่ยว ยันเรื่องเซลล์ เออใช่ เซลล์ที่อยู่ในสิ่งมีชีวิตอะ นั่งเล่าอยู่ มันไปเรื่องนั้นได้ยังไง ตอบ !!!!

หลังจากที่พวกเรากำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันใน Topic ที่กำลังคุยอยู่นั้นเอง ก็เกือบถึงเวลาละ เลยไปเข้าห้องน้ำ ก็อย่างที่เล่าไปอะว่า ผู้ชายเราว่ามันก็ลำบากแล้วนะ ตอนเดินไปคือ ผู้หญิงต่อแถวดั่งจะรอร้านเครื่องสำอางเปิด ในขณะที่ห้องผู้ชาย Walk-in เข้าหน้างานได้เลย 😂 (ภาพตอนนั้นนึกถึงตอน ม.6 ที่ไปสอบเข้า มศว แล้วผู้หญิงต่อแถวยาวเหยียดเพื่อจะเข้าห้องน้ำ) เมื่อเราเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ชายเท่านั้นแหละ !! ตอนนั้นอุทานว่า เ_ย ! คือมีผู้หญิงยืนอยู่หลังประตูที่เราเปิดไป เข้าใจแหละว่า คิวมันยาว ผู้ชายก็ไม่ได้ใช้ห้องที่เป็นห้อง ๆ อยู่ละ ให้ผู้หญิงเข้าไปเถอะ...

แต่การซ้อมใหญ่มันก็จะต้องซ้อมกับคณะที่รับรอบเดียวกัน ซึ่งมันเยอะกว่าตอนซ้อมย่อยมาก ๆ ทำให้การซ้อมเดินสักครั้งเนี่ยมันก็จะกินเวลาเป็นชั่วโมงได้เลยมั่งเสร็จออกมาก็ออกมาถ่ายรูปต่อ ตกเย็นมาคือหมดพลังโดยสิ้นเชิง

วันรับจริง

บอกเลยว่า คืนก่อนหน้าวันจริงคือนอนไม่หลับ ตื่นเต้นเหรอ ? ไม่รู้เหมือนกัน แต่นอนไม่ค่อยหลับเลย ตื่นมาก็เพลีย ๆ มาก แต่ก็ไม่รู้เรียกโชคดีหรือยังไง คือคณะเรารับรอบบ่าย (ที่ม.มหิดล จะรับปริญญากันจริง ๆ แค่วันเดียว โดยจะแบ่งเป็นรอบเช้า และบ่าย) ทำให้เราไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นเช้ามาก ๆ


เกลียดหน้านี้มาก !!!

วันนั้นเรารู้เลยว่า เราจะต้องอยู่ในครุยทั้งวัน ทำให้วันนั้นก่อนจะใส่ก็คือ เข้าห้องน้ำ กินข้าวไปนิดเดียว.... ไม่กล้ากินเยอะ เป็นมนุษย์ไส้สั้นไง เดี๋ยวกินเข้าไปแล้วใส่ชุดเสร็จ ก็ต้องเอาออกอีก ขี้เกียจ เลยกินไปนิดเดียว กับน้ำอีกนิดหน่อยเพื่อให้ไม่หิวน้ำ


เบลอบัตรไว้หน่อย มันคือบัตรประชาชน

วิธีการก็จะคล้ายกับวันซ้อมใหญ่เลยคือ ให้เราไปเข้าแถวที่คณะ ตรวจอะไรให้เรียบร้อย แล้วเดินแถวไปพิพิธภัณฑ์เพื่อรอเข้าหอประชุมเหมือนเดิม ด้วยเหตุอะไรไม่รู้ จู่ ๆ แถวก็หยุดระหว่างทาง ประกอบกับวันนั้นคือเราก็มีช่างภาพเดินตามไปด้วย ทำให้ระหว่างที่หยุดก็กดกันไปหลายภาพอีก พีคกว่านั้นคือ เพื่อนที่อยู่ข้างหน้าถัดไป 2 คนก็มีช่างภาพตามมาเช่นกัน ทำให้คนตรงกลางกลายเป็นเซเล็บไปในพริบตา เมื่อช่างภาพของแต่ละคนกดแชะ ๆ (หน้าแกติดรูปช้านนนน !!)

คือระหว่างทางมันหยุดอยู่สักแปบเลย ความร้อนขึ้นอย่างเยอะ ยืนอยู่ร่ม ๆ นะ แต่ข้างในคือท่วมแล้ว ! จนหิวน้ำมาก เพราะตอนอยู่คณะ ก็ไม่กล้าดื่มน้ำเยอะ เพราะกลัวปวดฉี่แล้วจะเข้าห้องน้ำไม่ได้ เดินไปถึงก่อนทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ก็ต้องผ่านด่าน ยิ่งกว่าตม. อีกรอบ

โดยวันนี้จะเข้มกว่าวันซ้อมใหญ่ (แหงแหละ !!) วันนั้นที่เพิ่มมาคืดจุดวัดไข้ เขาก็จะเอาที่วัดไข้ที่เป็นเอา Laser จิ้มมาไล่วัดทีละคนไปเรื่อย ๆ พอผ่านที่งงมากคือ ก็จะเอาเจลแอลกอฮอล์ที่ล้างมือแบะใส่มือเรา พร้อมกับแปะสติ๊กเกอร์สีเขียว (สติ๊กเกอร์อันนี้เข้าใจ) และพูดเบา ๆ ว่า ยินดีด้วยนะคะ พร้อมทั้งด้านต่อไปก็แหกโชว์ RFID ที่ครุยเช่นเดิม

ระหว่างที่เดินมาก็คือ ร้อน หิวน้ำ และอยากเข้าห้องน้ำมาก ก็นึกว่าผ่านด่านยิ่งกว่า ตม. แล้วจะได้ขึ้นไปรอข้างบนเหมือนเดิม ตอนเดินเข้าไป ด้วยความที่เราอยู่ข้างหลัง ๆ เลย เราเดินเข้าไป เราก็เห็นเหมือนเพื่อน ๆ กำลังม้วนหางแถว แทนที่จะขึ้นข้างบน แล้วมาอยู่ในชั้นล่างที่อับ ๆ ที่เล่าไปก่อนหน้านั้นอะ อื้อหืออออออ คือนึกภาพนะว่า ใส่ครุยเนี่ยแค่อยู่ในที่ ๆ ไม่มีแอร์แล้วอากาศเปิดคือเหงื่อท่วมแล้ว ระหว่างเดินมาก็ท่วมหนักแล้ว พอเหงื่อท่วม ๆ แล้วต้องมาอยู่ในที่อับไปอีก ความหายนะคูณ 3 เลยก็ว่าได้ ดูจากภายนอกก็เหมือนจะไม่ร้อนนะ แค่หัวเปียกยังกะพึ่งสระผมมา ข้างในนี่ล้วงเข้าไปไม่ได้ แต่รู้สึกเลยว่า สูทมันติดกับเสื้อนักศึกษาแล้วเสื้อมันก็ติดกับตัวเลย เหมือนเวลาเราโดนน้ำสาดเลย ตอนนั้นก็ใช้ทริกเดิม เอามือดึงแขนเสื้อให้มันเปิดไว้ จากปกติมันเปียกแค่เสื้อนักศึกษา นี่สูทก็เปียกไม่แพ้กัน ตอนดึงแขนเสื้อคือ มือก็ถือหมวกไปด้วยนะ (ผู้ชายอะ หมวกไม่ต้องใส่ ถือเอานะ ตอนรับก็ด้วย) ตัวที่เปียก ๆ ก็จะรำคาญก็จะลุกลิกไปมา ในอากาศอบ ๆ ยิ่งดุ๊กดิกก็ยิ่งร้อน แล้วก็ยืนนะบอกไว้ก่อน สักพักนึงเลย ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่เหมือนกัน เพราะตอนนั้นคือ เอาอะไรเข้าไปไม่ได้เลย (เอาอะไรเข้าไปไม่ได้เลยนะ นอกจากตัว ครุย และ บัตรประชาชน เอาเงินเข้าไปได้ แต่ต้องเป็นแบงค์เท่านั้นนะ) ตอนยืนก็คือ เงยหน้าหาอากาศเย็น ๆ ที่เล็ดรอดจาก ช่องที่เว้นไว้ติดประตู ก้มหน้านี่ก็ไอร้อนเลยละ ยืนจนหายปวดฉี่เลย 55555

และในที่สุด เราก็ได้ออกจากนรก เดินเข้าหอประชุมไป ตอนออกมาจากพิพิธภัณฑ์นี่คือ เหมือนขึ้นสวรรค์อะ ถึงแม้จะมีแดดก็เถอะ แดดมันไม่ทำให้อบขนาดนี้ ก็เดินตามทางที่มหาลัยเตรียมไว้ให้เหมือนวันซ้อมเข้าหอประชุมแล้วก็นั่งที่เดิม พอเข้าที่เย็น ๆ การปวดฉี่ก็กลับมาละลานอีกครั้ง ดีนะที่เขามีเวลาให้ไปเข้าห้องน้ำกับกินน้ำ เลยทำให้สดชื่นขึ้นหน่อย เหมือนต้นไม้เฉากลับมาเขียวอีกครั้ง หลังจากนั้นก็กลับไปนั่งที่ แล้วรอสักพักพิธีก็เริ่ม จากคืนก่อนที่นอนไม่ค่อยหลับ ทำให้พอเหงื่อออกมาก ๆ แล้วมาอยู่ที่เย็น ๆ มันก็จะล้าได้ที่เลย โหเป็นอาการที่แบบพยายามไม่หลับยากมาก จนเหมือนจะเผลอหลับไปเลย (บางทีเผลอหลับแบบฝืนที่จะไม่หลับ เวลาตื่นมา ไม่รู้ว่าทุกคนเป็นรึเปล่า แต่เราตื่นมาแล้วจะรู้สึกว่าไม่ได้หลับอะ) ดีนะที่ที่นั่งตรงนั้นมันไม่มีกล้องส่องอยู่ ไม่งั้นนี่ฮ่าเลยนะ และแล้ว หลังจากมานั่งซ้อมอยู่ 3 วัน ก็ถึงโมเม้นต์ที่เราจะได้ลุกไปรับแล้ว ตอนนั้นคือต้องทำตัวให้ตื่นเต็มที่ เพราะมันย้อนกลับไปแก้ไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านั้นเคยสงสัยนะว่า ทำไมรูปรับปริญญาตรงนั้นทุกคนดูก้มหน้า ไม่ก็หน้าไม่ยิ้มอะไรเลย ตัดภาพมาที่ตอนรับคือ ก้มจริง ก้มดูว่าเราต้องก้าวไปจุดไหน เพื่อนจะก้าวรึยัง ก้มอยู่นั่นแหละ พอถึงข้างหน้าก็รู้ว่า ถ้าหลับตาจะพลาดเลยนะ มันเร็วมาก เลยถ่างตาเลย สุดท้าย นี่ก็ก้มมองจุด โว้ยยยยยย อุตส่าห์ถ่างตา !!! ตอนนี้ยังไม่ได้รูปที่สั่งไปนะ อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะออกมาเป็นยังไง รับเสร็จก็ไปนั่ง ก็ไปเรื่อย ๆ จนพิธีเสร็จออกมา ก็ถ่ายรูปของคณะ โน้นนี่นั่น ออกมาจากหอประชุมคือ ร้อนเลย ร้อนอีกแล้ว !! แล้วก็เดินกลับมาถ่ายรูปต่อจนเย็นเลย

จากงานที่เสียงดังโน้นนี่นั่น ตกเย็นมันก็กลายเป็นความเงียบสงัด ขนาดไปนั่งกินซูชิกับน้องเทค ร้านคือแทบไม่มีคนเลย พอตอนแยกกันนี่ก็ติดหูฟังก็เลยจะหยิบหูฟังออกมาฟังเพลง เฮ้ย !! หาไม่เจอ เลยรีบเดินกลับไปที่ร้านนึกว่าลืมไว้ อ้าวเฮ้ย !! ไม่เจอออออ ชิบหายยย !!! ตอนนั้นคือถือครุย สูท และดอกไม้หลาย ๆ อย่างหอบวิ่งไป เสื้อเปียกอีกแล้วววว กลับไปคณะ ก็ยังหาไม่เจอ แต่ไม่รู้อะไรดลใจ ให้เปิดกระเป๋าเล็กที่ไว้ใส่ Powerbank ก็เจอหูฟังอยู่ในนั้น เฮ้อออ โล่ง นึกว่าหูฟังจะหายต้อนรับวันรับปริญญาซะแล้ว

กลับมาถึงห้องคือเรียกว่าหมดสภาพของจริง ชุดไม่ทำอะไรแล้ว เก็บเข้าตู้เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ดอกไม้แขวนไว้เป็นดอกไม้แห้ง คือแทบจะวางของเรี้ยราดเต็มห้องไปหมด ไม่ไหวแล้วตอนนั้นคืออยากนอนมาก แต่ตัวก็เหนียว ถ้าเป็น Sims คือ พลังงานกับความสะอาดขึ้นสีแดงไปเลย ไม่ไหวแล้ว ก็วางของแล้วนั่งสักแปบนึงก็เอาแรงฮึดไปอาบน้ำ นั่งอาบไปเลยจ้าา (ปกติยืน) เมื่อยจริง

ความเป็นจริงอันแสนโหดร้าย ของคน Report ไม่เสร็จ 2018

อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เรารับปริญญาวันที่ 20 กันยายน แต่ !!! วันที่ 21 กันยายน หรือวันถัดไปนั่นแหละ เป็น Deadline ส่ง Report วิชา Molecular Biology Techniques อื้อหืออออ นี่แหละเหตุผลที่นอนไม่หลับช่วงวันซ้อมและวันจริง ในหัวคือนั่งคิดเลยว่า ตรูจะเอายังไงดีว้าา ???? นั่งทำตั้งแต่ก่อนวันซ้อมแล้ว วันซ้อมแต่ละรอบและวันจริงมันจะเว้นกันวันนึง คงให้เราพักมั่ง วันพักนี่แหละเป็นวันดีที่เราจะนั่งปั่น Report เลย ทำให้ช่วงซ้อมกับวันจริงมันก็จะไม่มีสมาธิเลย ใจนี่คิดถึง Report ตลอด จะเขียนยังไงดีว้าาา จะทันมั้ย เครียดมาก

วันซ้อมเวลาว่าง ก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งพิมพ์ในโทรศัพท์แต่ละวันที่กลับมาจากซ้อมอาบน้ำเสร็จก็ลุกมาทำต่อ นอนแล้วก็ตื่นมาทำต่อแบบนี้เลย เหนื่อยจริง ๆ เหมือนไม่ได้พักเลย คืนของวันที่รับจริงกลับมาห้อง เหนื่อยมาก ๆ อาบน้ำเสร็จมันก็เรียกพลังได้นิดหน่อย ก็เอาเฮือกสุดท้ายนี่แหละ ลุกไปนั่งพิมพ์ Report ต่อ เพราะมันเหลืออีกชุดเดียวเท่านั้น (ชุดแรกใช้เวลาทำ 4 วัน แล้วแกว่าอีกชุดมันจะเสร็จใน 1-2 ชั่วโมงได้เหรอ ก็ไม่ไง) ทำไปถึงสัก 5 ทุ่ม ร่างแตกไม่ไหวแล้ว เลยไปนอนตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 3 ลุกขึ้นมาทำต่อ (มันต้องฮึดได้ขนาดไหน) ทำยันราว ๆ 7 โมงก็เสร็จแบบไม่ได้ตรวจ Grammar และการใช้คำอะไรเลย ตอนนั้นคือ เอาแค่เขียนให้เสร็จแล้ว ตอนแรกก็วางแผนว่า จะไปอาบน้ำแล้วเข้าคณะ สุดท้ายไม่ไหว นอนต่อสักแปบ แล้วก็ลุกไปอาบน้ำ แล้วออกไปปริ้น Report ขอบคุณ Double A Fast Print (เขาไม่ได้จ่ายนะเว้ย แต่ตอนนั้นมันเป็น Hero of the Day มาก) ระหว่างทางไปคณะนั่งรถคือหลับเป็นตาย ยังกะวาร์ปจากศาลายาไปศิริราชในแว่บเดียว แล้วก็เดินไปส่ง Report ในใจคือ เป็น ไท แล้ว โว้ยยยยยย เกรดเป็นไงช่างมันก่อน ขอฉลองเรียนจบกับส่ง Report ด้วยการ นอน 55555 คืนวันที่ส่ง Report กลับบ้านไปหลับสนิท หัวลงหมอนปุ๊บวาร์ป

สรุป

การรับปริญญาก็เป็นเหมือนเป็นการแสดงว่า เราได้ประสบความสำเร็จอีกก้าวหนึ่ง ที่จะเป็นส่วนผสมหนึ่งของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จในก้าวที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่

งานรับปริญญาเป็นงานที่ค่อนข้างสูบพลังชีวิตสูงมาก ทั้งชุดที่ร้อนมาก ๆ และต้องเดินไปเดินมาตลอดเวลา มันก็จะทำให้เหนื่อยและเพลียเป็นเรื่องธรรมดา นอกจากเรื่องเหนื่อยจากอากาศอันร้อนอบอ้าวแล้ว ไหนจะซ้อม ไหนจะถ่ายรูปนอกรอบ เสียทั้งเงิน เวลา และแรงกว่าจะได้รูปสวย ๆ มา แต่ก็นะ เราว่ามันเป็นครั้งนึงในชีวิต เราว่าการรับปริญญาก็เป็นเหมือนเป็นการแสดงว่า เราได้ประสบความสำเร็จอีกก้าวหนึ่ง ที่จะเป็นส่วนผสมหนึ่งของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในอนาคต ที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จในก้าวที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เราก็ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาทำให้เราเป็นเราเหมือนทุกวันนี้ นอกจากคนสำหรับคนที่มาร่วมแสดงความยินดีเราก็ต้องขอขอบคุณด้วยนะ เจอกันใหม่ตอนเรารับของปริญญาโทเมื่อเราจบแหละ (ถ้าเราไม่โดนไล่ออกหรือไม่ก็ออกเองซะก่อน ถถถถ)