4 ปีกับ Solar Cell แดดเปรี้ยง ๆ ก็มาสิครับ

1 ปีผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ ตอนนี้ก็ครบ 4 ปีหลังจากที่บ้านเราติด Solar Cell ไปแล้ว เป็นปีแรกเลยที่ เราไม่ได้มีการเพิ่ม หรือปรับเปลี่ยน Config อะไรทั้งสิ้น คือใช้ไป และมีการล้างทำความสะอาดอย่างเดียวเท่านั้น ก็มาลองดูกันว่า ด้วยการใช้งานในปีนี้ มันทำให้เราเข้าใกล้จุดคุ้มทุนมากน้อยขนาดไหน

Performance Analysis ระบบที่ 1

ขอติดเดือน 1 ของปี 2025 มานิดนึงนะ ลืมเอาออก

เริ่มจากระบบที่ 1 ที่วางแผงอยู่บนหลังคาเราทั้งหมดเลย ในปี 2024 ที่ผ่านมานี้ ระบบสามารถผลิตไฟได้ถึง 7.54 MWh ซึ่งถือว่า สูงสุดที่สุดนับตั้งแต่เราติดมาเลย เรียกได้ว่าพลิกโผที่เราเดาไว้ว่ามันน่าจะค่อย ๆ ลดลงตามกาลเวลาเข้าไปเรื่อย ๆ แต่เราเดาว่า ที่มันออกมาเป็นแบบนี้เพราะว่า ปีนี้แดดทำหน้าที่ได้ดีกว่าปีก่อน ๆ ด้วยละมั้ง เลยทำให้มันได้พลังงานออกมาเยอะกว่าปีก่อน ๆ ได้มากขนาดนั้น

หากเทียบเป็นช่วงแต่ละเดือน เราจะเห็นได้เลยว่า ปี 2024 ที่ผ่านมา ทำได้ดีกว่าปีก่อน ๆ แบบ เกือบทุกเดือนเลย เว้นของเดือนมีนาคม 2022 ที่อันนั้นเราไม่แน่ใจว่ามันของจริง หรือมันเกิด Error ขึ้นในระบบกันแน่ ดังนั้นเราขอเอาข้อมูลส่วนนั้นออกจากการวิเคราะห์ไปก่อนละกัน นั่นทำให้มันไม่แปลกเลยที่ ยอดรวมสรุปพลังงานที่ผลิตได้ในรอบปีมันจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากขนาดนั้น ถ้าเรามองเทียบระหว่างเดือน กับแต่ละปี เราว่าเดือนเมษาของปี 2024 นี้คือเป็นเดือนที่ระบบทำงานได้ดีเป็นพิเศษมาก ๆ แซงเดือนเดียวกันในปีก่อน ๆ แบบไม่เห็นฝุ่นเลย โดยผลิตได้อยู่ที่ 758.17 kWh เทียบกับค่าเฉลี่ยของปีก่อน ๆ ในเดือนเดียวกันที่ 499.74 kWh

ผลของการเพิ่มขึ้นของพลังงานที่ผลิตได้ในปี 2024 ที่ผ่านมานี้ ทำให้เราเดาต่อไปไม่ถูกเลยว่า ปีหน้านี้มันจะไปทางไหนกันแน่ ยิ่งเราได้เห็นค่าการผลิตที่ทำได้จากเดือน มกราคม 2025 ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คิดว่าปีนี้ ถ้ามันไปในแนวโน้มเหมือนปีก่อน เรามีแววว่าจะได้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกพอสมควรเลย ก็ต้องมารอดูในปีต่อไป

Performance Analysis ระบบที่ 2

แต่กลับกัน ในระบบที่ 2 กลับเดินตามที่คาดเอาไว้เลย หากเราดูในกราฟจำนวนพลังงานที่ผลิตได้ในแต่ละปี เราจะเห็นได้ว่า พลังงานที่ผลิตได้ในปี 2024 พอ ๆ กับปี 2023 เลย แต่จริง ๆ แล้ว ปี 2024 ผลิตได้น้อยกว่าอยู่ 0.39% หากตีเป็นพลังงานจะอยู่ที่ 23 kWh กว่า ๆ เท่านั้นเอง เอาจริง ๆ คือ มันเรียกว่า แทบจะเท่ากันเลยก็ได้แหละ ถือว่า ระบบทำงานได้อย่างดีเยี่ยม และเมื่อเราเอาผลจากระบบที่ 1 มาดูเทียบกัน เราคิดว่า ปี 2024 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ให้แดดที่ดีมาก ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เลยทำให้ทั้งสองระบบมันทำได้ดีมากขนาดนี้

สำหรับพลังงานที่ผลิตได้ในแต่ละเดือนของปี 2023 และ 2024 นั้นไปในทางเดียวกันคือ มีการเหวี่ยงไปตามแต่ละเดือน โดยมันจะลงไปต่ำสุดในเดือนกรกฏาคมแล้วเด้งกลับไปขึ้นแล้วลงอีกครั้งในเดือนกันยายน แล้วค่อย ๆ ขึ้นวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนคลื่นเลย ส่วนเมื่อเทียบจำนวนพลังงานกันกับปี 2023 ก็เรียกว่าสูสีกันมาก ๆ บางเดือนก็มีน้อยกว่า บางเดือนพอ ๆ กัน และบางเดือนก็สูงกว่านิดหน่อย เช่นเดือน เมษายน ที่สูงกว่าปี 2023 ขึ้นมาอีกนิดหน่อย

จากพลังงานที่ระบบที่ 2 ผลิตได้นั้นไม่ได้เหนือไปกว่าที่เราเดาไว้สักเท่าไหร่ ตอนแรกเราเดาไว้ว่า น่าจะตกลงไปสัก 2-3% ตามสภาพความเสื่อมตามกาลเวลา แต่กลับกลายเป็นว่ามันต่ำลงเพียง 0.39% เท่านั้น เลยเดาว่า แดดปีนี้มันดีจริง ๆ แหละ

Performance Comparison ระหว่างระบบที่ 1 และ 2

หากเราเอาพลังงานที่ระบบที่ 1 และ 2 ของแต่ละเดือนในปี 2024 มาวางเทียบกัน เราจะเห็นได้ว่า ระบบที่ 1 นั้นสามารถผลิตพลังงานได้สูงกว่าระบบที่ 2 ทุกเดือนเลย ซึ่งไม่น่าแปลกอะไรหากเราดูจากจำนวนพลังงานต่อปีที่ทั้งสองระบบผลิตได้ยังไงระบบที่ 1 ย่อมต้องนำระบบที่ 2 ไปพอสมควรแน่นอน อีกส่วนที่เราสามารถสังเกตได้คือ แนวโน้มการขึ้นลงของจำนวนพลังงานที่ผลิตได้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ๆ คือ จากเดือน 1 จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นไปในเดือน 4 เพราะมันเป็นหน้าร้อนแดดค่อย ๆ จัดขึ้น พอเริ่มเดือน 5 ลงไปมันเริ่มจะเป็นหน้าฝนที่แดดไม่ค่อยออก ฝนลงฉ่ำ แล้วค่อย ๆ กลับขึ้นไปในหน้าร้อนอีกครั้ง

ความประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย

ก่อนเราจะเล่าเรื่องความประหยัด เราอยากไปทุกคนไปดูปริมาณการใช้ไฟฟ้าของบ้านเราในแต่ละปีกันก่อน ในปี 2024 ที่ผ่านมา พลังงานไฟฟ้าที่บ้านเราใช้นั้นเพิ่มขึ้นเป็น New High เลย ตั้งแต่เก็บข้อมูลมา โดยใช้ไฟฟ้าไปทั้งหมด 17.62 MWh สูงกว่าปีก่อนที่ใช้อยู่ 16.72 MWh ถือว่า ไม่ได้สูงรุนแรงมากขึ้นเท่าไหร่ เดาว่า น่าจะมาจากแอร์ในช่วงหน้าร้อนที่ ปี 2024 มันร้อนแบบอยู่ในนรก แอร์เลยต้องทำงานหนักมาก ๆ และอาจจะเกิดมาจากพวกความเสื่อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เมื่อมันใช้งานไปเกิดความเสื่อม มันอาจจะต้องใช้พลังงานในการทำงานมากขึ้น (คิดว่า เป็นส่วนน้อยมาก ๆ) ตอนแรก เราคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้วย แต่เท่าที่ดูมา มันไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากเท่าไหร่ เลยตัดประเด็นเรื่องนี้ทิ้งกันไป

สำหรับบิลค่าไฟ ราคาสูงสุดจะอยู่ที่เดือน มิถุนายน ที่โดนไป 2,682.37 บาทด้วยกัน หากเอามาเทียบกับปี 2023 ที่บิลสูงสุดจะอยู่ที่เดือน เมษายน ที่โดนไป 2,649.74 บาท หลัก ๆ Trend ส่วนนี้ก็เปลี่ยนไป เพราะในปี 2023 ที่เราโดนเดือนเมษายนเยอะ เดาไม่ยากเลยว่า แอร์เป็นปัจจัยสำคัญมาก ๆ แต่พอมันเปลี่ยนมาในเดือนมิถุนายนที่อากาศมันเริ่มเย็นขึ้นจากฝนแล้ว มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกันเท่าไหร่ เลยเดาว่า น่าจะเป็นฝั่งของรถมากกว่าแล้วละ เดือนนั้นเราอาจจะเดินทางเยอะเลยทำให้ใช้ไฟชาร์จรถ BEV เข้าไปเยอะกว่าปกติ

แต่ที่เรา Impress มาก ๆ คือ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทุกคนรู้โลกรู้ว่า มันเป็นปีที่อากาศเย็นมาก ๆ หน้าหนาวทำหน้าที่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีมาก ๆ เอาซะเราหนาวนอนสบายกันไปหลายวันมาก ๆ โดยเราสังเกตการใช้ไฟฟ้าของเรา ปกติ แอร์ทุกตัวที่บ้านเรารวมกันคือ มากกว่าค่าไฟสำหรับการชาร์จรถ 2 คัน แต่รอบนี้คือแอร์หายไปเยอะมาก ๆ ขนาดว่าแอร์ห้องนอนหลักที่มีขนาดใหญ่ที่สุด พลังงานมันลดลงไป 80% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายนกันไปเลย นั่นทำให้อัตราการใช้พลังงานลดลงไปแบบไม่น่าเชื่อมเลยละ ทำให้บิลค่าไฟเราโดนอยู่ที่ 150.14 บาทเท่านั้นเอง ถือว่าเป็นบิลค่าไฟที่ New Low ขอบคุณอากาศหนาว !!!!!

และเมื่อเราเอาบิลค่าไฟของเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ของปี 2024 มาบวกรวมกัน ในปีก่อนหน้านี้ เราเสียค่าไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าเพียงแค่ 19,635.76 บาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 1,636.31 บาทเท่านั้นเอง บางคนอาจจะมองว่าทำไมมันแพงมาก ๆ แต่อันนี้อย่าลืมนะว่า บ้านเราคือ รัน Server สำหรับเว็บที่คุณกำลังอ่านอยู่ตอนนี้แบบ 24/7 รวมไปถึงแอร์ที่เราเปิดทุกคืน และบางตัวเปิดกลางวันตอนที่ไม่มีใครอยู่บ้านให้น้ำหอมและกระเป๋าอีก และที่โหดสุด ๆ น่าจะเป็นมีการชาร์จรถ BEV 2 คันอีก ดังนั้น เราคิดว่า จากการใช้งานของบ้านเรา เทียบกับราคาค่าไฟเฉลี่ยต่อเดือนถือว่า น้อยมาก ๆ แล้วนะ และค่าไฟรวมกันของปี 2024 ถูกกว่าปี 2023 มา 10 บาทถือว่า ไม่มีความแตกต่างมากเท่าไหร่

ยิ่งถ้าเทียบกับในกรณีที่หากบ้านเราไม่ได้ใช้ Solar Cell เลย เราคำนวณออกมา เราจะต้องเสียค่าไฟอยู่ที่ 88,345.71 บาท ทำให้เราประหยัดค่าไฟในปีนี้ได้ที่ 69,311.08 บาท แล้วบวกเข้าไปจาก Saving เมื่อปีก่อน ๆ ที่ผ่านมา ทำให้เราประหยัดไปแล้วรวม 252,478.83 บาท และเหลือติดลบอยู่ 193,521.17 บาท ที่จะต้องรอ Saving จากค่าไฟเพิ่มเข้ามาให้คืนทุนได้ไว ๆ

ROI ที่กี่ปี ?

สุดท้ายจากข้อมูลทั้งหมดที่เก็บมา นำไปสู่คำถามที่ว่า แล้วมันจะ ROI ภายในปีกี่ จากข้อมูลของปี 2023 ตอนนั้นเราบอกว่า 6-7 ปี เมื่อเราเอาข้อมูลจริงในปี 2024 เข้ามาใส่ปรากฏว่า ระยะการคืนทุนมันลดลงเลย เพราะจำนวนไฟที่เราได้ในปี 2024 มันมากกว่าปี 2023 และ Saving ที่เกิดขึ้นมันก็มากกว่าปีก่อน ๆ ด้วย ทำให้ตอนนี้ระยะการคืนทุนของเราลงไปเหลือไม่ถึง 6 ปีแล้ว โดยในปี 7 หรือในอีก 3 ปีต่อจากนี้ เราจะเริ่มมีกำไรอยู่ที่ 10,975.16 บาท และถ้ามันยังเป็นใน Trend นี้ต่อไป ครบ 25 ปี เราจะได้กำไรอยู่ที่ 1,075,690.36 บาท โดยที่ลงทุนไปแค่ 446,000 บาทเท่านั้นเอง (เอาจริง ๆ ถ้าติดตอนนี้ที่ราคามันลงแล้ว คืนทุนไวกว่าเราแน่นอน)

สรุป

ข้อมูลที่เราได้จากปี 2024 นี้ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า การเลือกลงทุนในการติดตั้งระบบ Solar Cell ของบ้านเรานั้น ดูท่าทางไปในทิศทางที่สดใสมาก ๆ มีแววว่าจะถึงจุด ROI ได้เร็วกว่าที่คาดหวังไว้ในช่วงแรก ๆ ไปถึง 2 ปีเลยละ แต่เราต้องบอกเลยว่า การที่ทำให้เราใช้ไฟฟ้าจาก Solar Cell อย่างเต็มระบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่เลย มันจะต้องรับบทนาง Manage จัดการพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า และวิธีการใช้ชีวิตเยอะพอสมควร เช่น การชาร์จรถเฉพาะตอนที่แดดแรงมาก ๆ หรือการเปิดแอร์ในช่วงที่ไฟเหลือ ก็ต้องขอบคุณระบบ Smart home ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ เราเสียบชาร์จทิ้งไว้ แล้วมันรอช่วงที่ไฟเหลือเยอะ ๆ ก็จัดการเลย และทำให้เราเห็นความแตกต่างได้จริง ๆ (ในเชิงสถิติอะนะ) ตอนนี้บ้านเรามีแผนอยู่ว่า อาจจะเริ่มลง Battery เหมือนของบ้านอีกหลังที่ลง Tesla Powerwall ไป แต่สำหรับบ้านนี้ มีแผนกันว่าจะลงของ Huawei เพื่อทำให้เราใช้พลังงานจาก Solar Cell ได้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ แต่ที่สำคัญคือเรื่องไฟตกไฟกระชากอันเป็นปัญหาใหญ่กว่า ก็คิดว่า Battery และ Backup Box ของ Huawei จะสามารถแก้ปัญหาให้บ้านเราได้นะ ตอนนี้ขอเก็บเงินก่อนละกัน ถ้าติดแล้ว เราจะมารีวิวอย่างแน่นอน รอติดตามได้เลย